คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6546/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้เสียหายกำลังขับรถแท็กซี่โดยมีจำเลยซึ่งเป็นผู้โดยสารและไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนั่งอยู่ด้านหลัง ใช้วัตถุจี้ที่เอวผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่ามีสตางค์เท่าไหร่เอามาให้หมด ในขณะนั้นผู้เสียหายไม่อาจทราบได้ว่าวัตถุที่จำเลยใช้จี้เอวเป็นไม้เสียบลูกชิ้น แต่การที่ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บ ทำให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าวัตถุที่จำเลยใช้จี้เป็นอาวุธที่มีลักษณะปลายแหลมสามารถใช้ประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้เสียหายย่อมจะต้องเกิดความกลัวและไม่กล้าขัดขืน ยอมมอบเงินให้แก่จำเลยไป การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคแรก แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 33, 339 ริบไม้เสียบลูกชิ้นของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 220 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง จำเลยอายุกว่าสิบเจ็ดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปีเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 76 จำคุก 5 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบไม้เสียบลูกชิ้นของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 220 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งจำเลยไม่ได้ฎีกาและโจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง จำเลยเรียกรถยนต์แท็กซี่ที่มีนายกฤษฎาผู้เสียหายเป็นคนขับให้ไปส่งที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี จำเลยนั่งที่เบาะด้านหลัง เมื่อผู้เสียหายขับรถไปได้สักครู่หนึ่งจำเลยขยับมานั่งที่เบาะด้านขวาหลังคนขับ ขณะที่ผู้เสียหายขับรถอยู่นั้น จำเลยใช้ไม้เสียบลูกชิ้นซึ่งมีปลายแหลมจี้ที่เอวผู้เสียหายบริเวณสีข้างขวาจนผู้เสียหายรู้สึกเจ็บ จำเลยพูดขอเงินจากผู้เสียหาย ผู้เสียหายส่งมอบเงินจำนวน 500 บาท ให้จำเลยไป คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้เสียหายกำลังขับรถยนต์แท็กซี่โดยมีจำเลยซึ่งเป็นผู้โดยสารและไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนั่งอยู่ด้านหลังใช้วัตถุจี้ที่เอวผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่ามีสตางค์เท่าไหร่เอามาให้หมด ในขณะนั้นผู้เสียหายไม่อาจทราบได้ว่าวัตถุที่จำเลยใช้จี้ที่เอวเป็นไม้เสียบลูกชิ้น แต่การที่ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บถูกไม้เสียบลูกชิ้นแทง ทำให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าวัตถุที่จำเลยใช้จี้เป็นอาวุธที่มีลักษณะปลายแหลมสามารถใช้ประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายได้ ในสภาพการณ์เช่นนี้ผู้เสียหายย่อมจะต้องเกิดความกลัวและไม่กล้าขัดขืน ยอมมอบเงินให้แก่จำเลยไป การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคแรก แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีประวัติการรักษาตัวเกี่ยวกับโรคทางประสาทและทางจิต จำเลยกระทำไปในสภาวะที่ขาดสติ การข่มขู่ผู้เสียหายดังกล่าวยังไม่ถึงขนาดหรือร้ายแรงนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะมีประวัติการรักษาตัวเกี่ยวกับโรคจิตมาก่อน แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายดังกล่าวข้างต้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นการขู่เข็ญที่ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจำเลยจะใช้กำลังประทุษร้าย หากผู้เสียหายไม่ยอมส่งมอบเงินให้จำเลย การที่จำเลยมีประวัติป่วยเป็นโรคทางจิตไม่ทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นการขู่เข็ญ กรณีหาใช่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเต็มใจส่งมอบเงินให้แก่จำเลยดังที่จำเลยฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share