แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีซึ่งมีกรณีพัวพันกันอยู่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม. อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและความแพ่งศาลย่อมมีอำนาจเรียกสำนวนคดีเหล่านั้นมาประกอบการวินิจฉัยให้ข้อเท็จจริงได้ความแจ่มกระจ่างได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดร้องขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จ โดยจำเลยบังอาจเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จมาฟ้องกล่าวโทษโจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยได้ยื่นฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์เป็นข้อความซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ จำเลยจึงต้องมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 158 พิพากษาวางโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์พิสูจน์ให้สม เมื่อโจทก์มิได้สืบพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยแกล้งนำคดีมาฟ้องโจทก์โดยไม่เป็นความจริง และจำเลยทราบอยู่ดีแล้วว่าเป็นเท็จ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ เท่าที่ศาลชั้นต้นได้หยิบยกคดีอาญาเลขแดงที่ 216/2500 มาประกอบการพิจารณาในฐานะพยานศาล และยกเอาเอกสาร จ.1 ใน คดีนั้นมาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่ดินเป็นของผู้ใดนั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะเป็นการหยิบยกเอาพยานหลักฐานซึ่งคู่ความมิได้อ้างมาเป็นพยานวินิจฉัยให้เป็นโทษแก่จำเลยในคดีอาญา ในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีอาญาเลขแดงที่ 216/2500 ซึ่งศาลชั้นต้นได้เรียกมาเป็นพยานศาลประกอบการวินิจฉัยคดีด้วยนั้น มีกรณีเกี่ยวพันกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5/2499 ซึ่งโจทก์ได้อ้างเป็นพยานไว้แล้ว และในคดีอาญาเลขแดงที่ 216/2500 จำเลยก็ได้ฟ้องนายหมาด ดำนิล พยานโจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ 5/2499 ว่า เบิกความเท็จในคดีดังกล่าว นับได้ว่าเป็นกรณีพัวพันกันอยู่ ศาลยุติธรรมอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228 และมาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรค 3และ มาตรา 187 ย่อมทรงสิทธิเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะทำการสืบพยานหลักฐานต่อไปให้ได้ความแจ่มกระจ่างว่าเท็จจริงเป็นไฉนได้ โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ ที่ศาลชั้นต้นเรียกสำนวนดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัย จึงชอบที่จะทำได้
เท่าที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องนั้นชอบด้วยรูปคดีแล้ว จึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ