แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 เมื่อศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด ตามคำพิพากษาแล้วย่อมไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ส่วนจำเลยจะได้รับการลดโทษตาม พ.ร.ฎ. พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2542 หรือไม่เพียงใดนั้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ฎ. พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2542 และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่จะตรวจสอบผู้ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ จำเลยชอบที่จะไปร้องให้ถูกทาง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตลอดชีวิตในฐานความผิดพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (เป็นผู้สนับสนุน) ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕, ๖๖ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖, ๕๒ (๑) ต่อมาจำเลยที่ ๑และที่ ๒ ยื่นคำร้อง ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓ ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายใหม่ระบุเฉพาะฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ เพื่อมีผลให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตรงตามคำพิพากษาแล้วยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ถูกโจทก์ฟ้องเป็นตัวการ แต่ศาลพิพากษา ให้ยกฟ้องโจทก์ในฐานความผิดดังกล่าวจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงไม่ใช่ตัวการหรือผู้ที่เจตนาจะกระทำความผิดหรือเป็นบุคคลที่เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งการตราพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐ (๑) ไม่ให้ ได้รับพระราชทานอภัยโทษนั้น เห็นว่า ในศาลชั้นต้นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ โดยไม่ต้องระบุว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดฐานพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (เป็นผู้สนับสนุน) ต้องตามกฎหมายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕, ๖๖ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖, ๕๒ (๑) เพื่อให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้รับประโยชน์จากการได้พระราชทานอภัยโทษ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ย่อมยกขึ้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๖ วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ เมื่อศาลชั้นต้นซึ่งออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดตรงตามคำพิพากษาแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะได้รับประโยชน์คือได้รับการลดโทษจากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่จะทำการตรวจสอบผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบที่จะไปร้องให้ถูกทาง ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน