คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2554

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร แต่เมื่อไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้กระทำความผิดมาเป็นของกลาง จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 วรรคสาม
จำเลยด่าว่าผู้เสียหายพร้อมกับขู่ว่าจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการกระทำในคราวเดียวโดยมีเจตนาเพื่อดูหมิ่นและทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือตกใจ จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2547 เวลากลางวัน จำเลยมีอาวุธปืนสั้นชนิดประกอบขึ้นเองไม่ปรากฏขนาดที่แน่ชัด ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ 1 กระบอก กระสุนปืนไม่ปรากฏขนาดและจำนวนที่แน่ชัด ซึ่งใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนภายในหมู่ที่ 10 ตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยได้ดูหมิ่นนางเผือน ผู้เสียหายซึ่งหน้าโดยด่าผู้เสียหายด้วยถ้อยคำว่า “เย็ดแม่ ให้รื้อร้านออกไป ไม่ไปยิงหัวให้ตาย” ทำให้ผู้เสียหายถูกดูถูก ถูกเหยียดหยามและเกิดความอับอายต่อบุคคลทั่วไปที่เข้าใจไปทำนองว่าผู้เสียหายเป็นคนไม่ดี และจำเลยยังชักอาวุธปืนที่มีและพาไปเป็นความผิดดังกล่าวข้างต้นซึ่งเหน็บไว้ที่เอวด้านหน้าแสดงให้ผู้เสียหายเห็นประกอบถ้อยคำดูหมิ่นผู้เสียหาย อันเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายว่าจะใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและความตกใจ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 371, 392, 393
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 392, 393 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ จำคุก 1 เดือน ฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ปรับ 1,000 บาท และฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าปรับ 1,000 บาท รวมปรับ 2,000 บาท อีกสถานหนึ่ง รวมลงโทษสองข้อหาจำคุก 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหามีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุขณะที่นางสาวจิราบุตรของผู้เสียหายขายของอยู่ที่ร้านค้าของชำที่เกิดเหตุ จำเลยเข้าไปที่ร้านและถูกผู้เสียหายต่อว่ากล่าวหาจำเลยว่าล่วงเกินจับมือนางสาวจิรา ผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมากล่าวหาว่าจำเลยดูหมิ่น และใช้อาวุธปืนขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือตกใจ สำหรับข้อหาดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าและทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง กรณีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรหรือไม่ โจทก์มีนางเผือน ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความสรุปว่า หลังจากผู้เสียหายต่อว่าจำเลยกรณีล่วงเกินนางสาวจิราจนจำเลยโกรธและด่าผู้เสียหายว่า “เย็ดแม่ มึงใหญ่อะไร มึงใหญ่มาจากไหน เย็ดแม่มึงออกจากนี้ให้เร็ว หากไม่ออกไปจะยิงหัว” โดยระหว่างที่จำเลยยืนพูดอยู่นั้นจำเลยได้ตบชายเสื้อด้านขวาพร้อมกับถลกชายเสื้อขึ้น ผู้เสียหายเห็นด้ามปืนสีดำเหน็บอยู่ที่เอวจำเลย ขณะนั้นจำเลยอยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ 2 เมตร ผู้เสียหายตกใจกลัวแล้วพวกของจำเลยได้ห้ามปรามจำเลย เห็นว่า ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จำเลยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่ายางและต่อมาได้รับเลือกตั้งแสดงว่าจำเลยเป็นผู้กว้างขวางเป็นที่รู้จักของคนในละแวกดังกล่าว ส่วนผู้เสียหายมีอาชีพขายของชำ ตามทางนำสืบไม่ปรากฏว่าเป็นผู้มีอิทธิพลใดๆ คงเป็นเพียงชาวบ้านสามัญเท่านั้น และยังได้ความว่าหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนอีกด้วย หากจำเลยมิได้พูดจาดูหมิ่นและข่มขู่ผู้เสียหายจริงแล้ว ผู้เสียหายก็ไม่น่าจะกล้ากล่าวหาจำเลยซึ่งเป็นบุคคลที่มีผู้รู้จักกว้างขวางเช่นนี้เป็นแน่ น่าเชื่อว่าผู้เสียหายให้การและเบิกความไปตามเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยด่าว่าผู้เสียหายด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และมีถ้อยคำในลักษณะขู่เข็ญว่าจะยิงทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกับใช้มือตบชายเสื้อข้างขวาและเลิกชายเสื้อขึ้น เพื่อให้ผู้เสียหายมองเห็นด้ามอาวุธปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของจำเลย ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายเลื่อนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งที่ว่า หลังจากพยานเห็นจำเลยดึงมือนางสาวจิรา พยานจึงต่อว่าจำเลยและเข้าไปแกะมือจำเลยกับนางสาวจิราออกจากกัน แล้วพยานยังคงนั่งอยู่ที่หน้าร้านตามเดิม ต่อมาจำเลยลุกขึ้นแล้วมาลูบศีรษะของพยานกับดึงแว่นตาของพยานออก พยานใช้มือโอบที่เอวจำเลยไว้เพื่อแย่งแว่นตาคืนและพบว่าจำเลยเหน็บอาวุธปืนไว้ที่เอวด้านขวา พยานจึงเดินไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้เสียหายทราบ ผู้เสียหายไปต่อว่าจำเลยและถูกจำเลยด่าว่าและข่มขู่ว่าจะยิงพร้อมกับใช้มือตบที่เอว ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยเหน็บอาวุธปืนไว้ จากพฤติการณ์ที่จำเลยพูดข่มขู่ผู้เสียหายว่าจะยิงศีรษะผู้เสียหายพร้อมทั้งเลิกชายเสื้อให้เห็นด้ามอาวุธปืนที่เอวของจำเลย ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยพกอาวุธปืนไว้ที่เอวจริง และพันตำรวจโทศิริพงษ์ ไกรนรา พนักงานสอบสวนเบิกความว่าในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน และจำเลยยังเบิกความเจือสมว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีและใช้อาวุธปืน พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่ายาง แข่งขันกับหลานของนายเลื่อน จึงเป็นเหตุให้ถูกกลั่นแกล้งกล่าวหาให้เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น เห็นว่า การแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาว่าผู้อื่นกระทำความผิดอาญานั้น ผู้แจ้งย่อมจะต้องรู้ดีว่าการแจ้งความซึ่งไม่มีมูลความจริงหรือการแจ้งความเท็จย่อมต้องส่งผลร้ายแรงต่อผู้แจ้งด้วยการถูกดำเนินคดีอาญา และได้ความว่ามีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่ายางประมาณ 5 คน หากนายเลื่อนและผู้เสียหายต้องการช่วยหลานของตนให้ได้รับเลือกตั้ง เหตุใดนายเลื่อนและผู้เสียหายจึงต้องกลั่นแกล้งจำเลยแต่เพียงผู้เดียว จึงไม่น่าเชื่อว่านายเลื่อนและผู้เสียหายจะแจ้งความใส่ร้ายจำเลย ข้อต่อสู้ข้อนี้ของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาอ้างว่าผู้เสียหายเบิกความกลับไปมาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จำเลยจับมือนางสาวจิราว่า ผู้เสียหายเห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองหรือได้รับการบอกเล่าจากนายเลื่อน ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหาย และที่อ้างว่าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยชักอาวุธปืน การมองเห็นของผู้เสียหายและการสัมผัสของนายเลื่อน เป็นเพียงการสันนิษฐานของบุคคลทั้งสองรวมทั้งยังเบิกความแตกต่างขัดแย้งกันเกี่ยวกับตำแหน่งที่เห็นจำเลยเหน็บอาวุธปืนไว้นั้น เห็นว่า การที่ผู้เสียหายเบิกความถึงคำพูดขู่เข็ญและอากัปกิริยาของจำเลยรวมทั้งยังยืนยันว่าเห็นด้ามปืนเหน็บอยู่ที่เอวจำเลย ส่วนนายเลื่อนเคยมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลท่ายาง ที่เกิดเหตุซึ่งตามปรกติมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยยืนยันว่าสิ่งที่พยานสัมผัสหรือคลำพบที่เอวของจำเลยเป็นอาวุธปืน จึงมิใช่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของพยานทั้งสองดังที่จำเลยกล่าวอ้าง แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าเห็นจำเลยเหน็บอาวุธปืนที่เอวด้านหน้า ส่วนนายเลื่อนเบิกความว่าคลำพบอาวุธปืนที่เอวด้านขวาของจำเลย ข้อเท็จจริงตามที่พยานทั้งสองปากเบิกความถึงก็เป็นเหตุการณ์คนละช่วงเวลาและรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้น้ำหนักคำพยานโจทก์เสียไป ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้กระทำความผิดมาเป็นของกลาง จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสาม เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และพฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรงมากนัก ที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุกในข้อหาทั้งสองดังกล่าวนั้นสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดใหม่ให้เหมาะสมและรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยโดยให้ปรับจำเลยในข้อหาทั้งสองนี้ด้วยอีกสถานหนึ่ง
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญและฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยด่าว่าผู้เสียหายพร้อมกับขู่ว่าจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการกระทำในคราวเดียวโดยมีเจตนาเพื่อดูหมิ่นและทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือตกใจ จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 392, 393 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยในความผิดทั้งสองฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ส่วนความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญและฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยจำคุก 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท รวมเป็นจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 1 ปี 1 เดือน และปรับ 11,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share