คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีอัตราโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาตามมาตรา 371 กับความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ตามมาตรา 337 เป็นกรณีต่างกรรมกัน มิใช่เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาความผิดตามมาตรา 337 จึงไม่มีเหตุที่จะต้องรับพิจารณาความผิดตามมาตรา 371 ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยุติไปแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 371 จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 371, 83, 91 ขอให้จำเลย คืนเงินสด 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 337, 371, 83 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะจำเลยกระทำผิดอายุ 14 ปีเศษ เห็นว่า ยังเด็กไม่สมควรพิพากษาลงโทษ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74 (1) (2) และมาตรา 56 จึงให้ว่ากล่าวตักเตือน แล้วมอบจำเลยให้ผู้ปกครองรับไปปกครองดูแลและอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด โดยกำหนดเงื่อนไข คุมความประพฤติ…
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าสำหรับข้อหาความผิดฐานพาอาวุธมีดปลายแหลมติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีอัตราโทษปรับ ไม่เกินหนึ่งร้อยบาท ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาความผิดฐานนี้กับความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผู้อื่น เป็นกรณีต่างกรรมกันโดยมิใช่เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ผู้อื่นจึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจะต้องรับพิจารณาความผิดฐานพาอาวุธมีดปลายแหลมติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยุติไปแล้ว การที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับวินิจฉัยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ดังกล่าวและพิพากษาลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบคดีในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเฉพาะในข้อที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกรรโชกทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาเที่ยง ขณะผู้เสียหายกำลังล้างมืออยู่ที่อ่างล้างหน้า ในห้องน้ำหญิงของ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนส. มีนักเรียนชายรุ่นพี่สองคนแต่งกายชุดนักเรียน เข้ามาหาผู้เสียหาย ขณะนั้นไม่มีบุคคลอื่น แล้วเด็กชายส. ใช้มีดปลายแหลมจี้ที่เอวด้านขวาของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยพูดขู่ว่าให้หาเงินจำนวน 1,000 บาท มาให้ภายใน 2 วัน ไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย และให้ไปบอกเพื่อนที่ชอบฟ้องคุณครูหรือไปบอกคุณครูว่าเงินของผู้เสียหายสูญหายโดยให้บอกว่าเป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท จำนวน 5 ฉบับ ฉบับละ 100 บาท จำนวน 2 ฉบับ และฉบับละ 20 บาท หลายฉบับ ผู้เสียหายตกใจกลัว เมื่อจำเลยพูดเสร็จผู้เสียหายจึงวิ่งหนีไป ผู้เสียหายไม่ได้บอกให้ใครทราบเพราะกลัวว่าจำเลยจะฆ่า ต่อมาผู้เสียหายได้หยิบเอาเงิน 1,000 บาท ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะในห้องของพี่ชายผู้เสียหายไป โดยตั้งใจว่าจะนำไปให้จำเลยและเด็กชาย ส. เมื่อเดินผ่านสนามบาสเกตบอลพบจำเลย จำเลยได้เข้ามาพูดกับผู้เสียหายและส่งธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 1 ฉบับ ให้แก่ผู้เสียหายและบอกให้ไปบอกเพื่อนว่าพบธนบัตรที่ ข้างถังขยะ ส่วนเงิน 1,000 บาท ผู้เสียหายยังไม่ได้ให้จำเลย ต่อมาเวลายังไม่ถึงเที่ยงวันขณะที่ ผู้เสียหายอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว จำเลยกับเด็กชาย ส. ได้มาหาและถามว่าได้นำเงินจำนวน 1,000 บาท มาให้หรือไม่ผู้เสียหายจึงส่งเงินให้จำเลยไป 1,000 บาท จำเลยยังทวงเงิน 100 บาท ที่ให้ผู้เสียหายในตอนเช้า ผู้เสียหายจึงส่งให้ไป จากนั้น ผู้เสียหายจึงเล่าเรื่องให้มารดาทราบ ต่อมามารดาได้พาผู้เสียหายไปแจ้งความ เจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายและมารดาไปที่ โรงเรียนผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ชี้ตัวจำเลยและนาย ส. ว่าเป็นคนที่ขู่กรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย เห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานคือ ผู้เสียหายเพียงปากเดียวที่เบิกความถึงพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ซึ่งมีข้อพิรุธขัดต่อเหตุผลหลายประการ เช่นที่ ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยบอกผู้เสียหายให้ไปบอกเพื่อนที่ชอบฟ้องคุณครูหรือไปบอกคุณครูว่าเงินของผู้เสียหายสูญหายไป ย่อมจะทำให้คุณครูสอบถามเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับเงินจำนวนดังกล่าวและ พฤติการณ์ต่าง ๆ ด้วย จึงเป็นการผิดปกติวิสัยของคนร้ายเป็นอย่างมาก ทั้งจำนวนเงินที่แจ้งว่าสูญหายไปก็มีจำนวน มากกว่าที่พูดขู่กรรโชกให้ผู้เสียหายนำมาให้เพียง 1,000 บาท นอกจากนี้ในวันที่ผู้เสียหายนำเงิน 1,000 บาท ไปโรงเรียน และตอนเช้าพบกับจำเลย แทนที่จำเลยจะถามเอาเงินที่บอกให้ผู้เสียหายนำมาให้ 1,000 บาท แต่จำเลยกลับนำเงินให้ผู้เสียหายอีก 100 บาท แล้วไม่ได้พูดถึงเรื่องเงิน 1,000 บาท จนกระทั่งตอนประมาณเที่ยงวันจำเลยจึงได้มาหาผู้เสียหายและสอบถามถึงเรื่องเงิน 1,000 บาท ที่ขู่กรรโชกให้ผู้เสียหายนำมาให้ ซึ่งเป็นการผิดปกติวิสัยของคนร้ายและขัดต่อเหตุผลเป็นอย่างมาก คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นพิรุธหลายประการว่า คนร้ายที่มีความรู้สึกนึกคิด โดยปกติทั่วไปแล้ว ย่อมไม่กระทำพฤติการณ์ที่ผิดปกติและขัดต่อเหตุผลดังที่ผู้เสียหายเบิกความ ซึ่งจำเลยมี อายุประมาณ 14 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และไม่ปราฏว่าจำเลยมีสภาพจิตใจหรือความประพฤติผิดปกติ แต่อย่างใดไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะกระทำเรื่องที่มีพฤติการณ์ผิดปกติและขัดกับเหตุผลเช่นนี้ ส่วนผู้เสียหายซึ่ง ขณะเกิดเหตุมีอายุประมาณ 9 ปี ยังเป็นเด็ก ความรู้สึกนึกคิดย่อมไม่รอบคอบสมบูรณ์อย่างแน่นอนหากจะปั้นแต่ง สร้างเรื่องขึ้นมาก็อาจจะไม่สมเหตุสมผล ดังเช่นพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคดีนี้ ทั้งยังได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาว อ. ครูประจำชั้นเรียนผู้เสียหาย ที่ผู้แทนโจทก์อ้างเป็นพยานว่า ผู้เสียหายมีความประพฤติชอบโกหกเป็นประจำ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อพิรุธหลายประการของคำเบิกความของผู้เสียหายที่เป็นประจักษ์พยานโจทก์เพียงปากเดียว ทั้งคดีนี้ก็ไม่ปรากฏว่าพบธนบัตรที่ผู้เสียหายอ้างว่ามอบให้จำเลยไป และจำเลยก็ให้การปฏิเสธตลอดมา พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าได้มีการกระทำความผิดและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษามานั้น ศาลฎีกา ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share