คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวันของธนาคารจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเงินก็ต่อเมื่อโจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงิน ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จ่ายเงินตามเช็คจากบัญชีของโจทก์ให้แก่ ย. โดยลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอม จึงเป็นการปฏิบัตินอกหน้าที่อันพึงมีต่อผู้เคยค้า เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธว่ามิได้จ่ายเงินโดยประมาทเลินเล่อ และโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อเอง โจทก์เป็นผู้ถูกตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 ประเด็นข้อพิพาทจึงครอบคลุมถึงความรับผิดตามบทบัญญัติเรื่องตั๋วเงิน และครอบคลุมข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัตินอกหน้าที่ตามนิติสัมพันธ์ที่มีต่อโจทก์และเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม การที่ศาลอุทธรณ์นำบทบัญญัติในลักษณะตั๋วเงินมาปรับบทและวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยในกรอบแห่งประเด็นข้อพิพาทและไม่เกินคำขอ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง ผู้ใดจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิตามตั๋วเงินซึ่งลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอมมิได้ แม้ผู้นั้นจะมิได้ประมาทเลินเล่อ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1จ่ายเงินตามเช็คของโจทก์ให้แก่ ย. ซึ่งมีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอมไปโดยมิได้ประมาทเลินเล่อและพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 จึงเป็นคุณเฉพาะตัวแก่จำเลยที่ 2 หามีผลให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีความรับผิดตามกฎหมายอยู่แล้วต้องหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยไม่
โจทก์เก็บสมุดเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะชั้นล่างซึ่งอยู่ภายในบ้านพักอาศัย บางครั้งโจทก์วางสมุดเช็คไว้บนโต๊ะมิได้เก็บเข้าลิ้นชักเมื่อสถานที่ดังกล่าวอยู่ภายในบ้านพักของโจทก์ ย. เป็นผู้เช่าบ้านอยู่ใกล้บ้านของโจทก์ก็เคยเข้าออกบ้านโจทก์ มิใช่คนแปลกหน้า จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ย. ลักเช็คไปทำการปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเช็คได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับจ่ายเงินสดจากลูกค้า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขา และจำเลยที่ 4 เป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 โดยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 128-1-00750-1 และซื้อสมุดเช็คจำนวน 1 เล่ม หมายเลข เค 2083081 ถึง เค 2083100 รวม 20 ฉบับ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม2540 นายยุทธนา บูรณะพงษ์ ได้นำเช็คที่โจทก์ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ฉบับ หมายเลข เค2083088 สั่งจ่ายเงินจำนวน 286,000 บาท ไปเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินตามเช็ค โดยผ่านการตรวจสอบของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามระเบียบและวิธีการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไปโดยประมาทเลินเล่อ เนื่องจากเช็คดังกล่าวมีการกรอกข้อความและปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้สั่งจ่ายซึ่งไม่ตรงกับตัวอย่างลายมือชื่อที่โจทก์ได้ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการตรวจสอบลายมือชื่อของลูกค้าและปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาย่อมจะมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อ แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4หาได้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์ต้องเสียหายจำนวน 286,000 บาท และเสียดอกเบี้ยตามอัตราที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2540 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2541 คิดเป็นดอกเบี้ย 23,722.32 บาท รวมเป็นเงิน 309,722 บาท จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 309,722 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี หรือตามที่จำเลยที่ 1 คิดหักจากบัญชีของโจทก์จากต้นเงินจำนวน 286,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 สาขาชัยนาท ประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โดยโจทก์ตกลงยินยอมผูกพันและปฏิบัติตามเงื่อนไขการเปิดบัญชีกระแสรายวันที่พิมพ์ไว้ท้ายคำขอเปิดบัญชี และรับว่าจะปฏิบัติตามคำเตือนที่พิมพ์อยู่ในปกสมุดเช็คและปกสมุดใบฝากเงิน หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขและคำเตือนดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร โจทก์จะเป็นผู้รับผิดชอบเองทุกประการ จำเลยที่ 3 มิได้มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของเช็คพิพาท ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 4 มิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบลายมือชื่อโจทก์ในเช็คพิพาทแล้วเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์จริงจึงได้จ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้ทรงไป โจทก์เองเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อไม่เก็บรักษาเช็คพิพาทไว้ในที่มั่นคงปลอดภัย ทำให้บุคคลอื่นได้เช็คพิพาทไปแล้วปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์โจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้ถูกตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 และ 223 จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 286,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2540 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์เป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 นายยุทธนา บูรณะพงษ์ ได้ลักเช็คฉบับเลขที่ เค 2083088 ของโจทก์นำไปกรอกวันออกเช็คคือ “7 ต.ค. 40” สั่งจ่ายเงินจำนวน 286,000 บาท โดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้สั่งจ่าย นำไปเบิกเงินจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 พนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเช็คฉบับดังกล่าวจากนายยุทธนาและจ่ายเงินให้ไปเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2540 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 มีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกบทบัญญัติแห่งกฎหมายในลักษณะ “ตั๋วเงิน” ขึ้นวินิจฉัยว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการวินิจฉัยเกินจากคำฟ้อง นอกประเด็นข้อพิพาทและเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีนิติสัมพันธ์ต่อกันโดยโจทก์เป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวัน การเบิกเงินต้องกระทำโดยการสั่งจ่ายเช็ค จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามเช็คก็ต่อเมื่อโจทก์ในฐานะผู้เคยค้ากับจำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คให้เบิกเงินจากจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 991 ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จ่ายเงินจำนวนตามเช็คจากบัญชีของโจทก์ให้แก่นายยุทธนา โดยลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม จึงเป็นการปฏิบัตินอกหน้าที่ของตนอันพึงมีต่อผู้เคยค้าฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยที่ 1 กับพวก จำเลยที่ 1 ก็ให้การต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดว่ามิได้จ่ายเงินโดยประมาทเลินเล่อและโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อเองในการเก็บรักษาเช็คตามฟ้อง โจทก์เป็นผู้ถูกตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้จึงครอบคลุมถึงความรับผิดตามบทบัญญัติเรื่องตั๋วเงินและครอบคลุมข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำฟ้องและให้การว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัตินอกหน้าที่ตามนิติสัมพันธ์ที่มีต่อโจทก์และเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นำบทบัญญัติในลักษณะตั๋วเงินมาปรับบทและวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยในกรอบแห่งประเด็นข้อพิพาทและไม่เกินคำขอ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้ประมาทเลินเล่อ พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 2 ก็ต้องหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยนั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง ผู้ใดจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิตามตั๋วเงินซึ่งลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอมมิได้ แม้ผู้นั้นจะมิได้ประมาทเลินเล่อ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้ประมาทเลินเล่อและพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยโจทก์ก็ไม่ฎีกาให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคุณเฉพาะตัวแก่จำเลยที่ 2 หามีผลให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีความรับผิดตามกฎหมายอยู่แล้วต้องหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยไม่ ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า โจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ โจทก์จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์และนางปริศนา หริ่งรอด พยานโจทก์ว่า โจทก์เก็บสมุดเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะชั้นล่างซึ่งอยู่ภายในบ้านพักอาศัย และโจทก์ตอบคำถามค้านทนายความจำเลยที่ 1 ว่า บางครั้งโจทก์วางสมุดเช็คไว้บนโต๊ะมิได้เก็บเข้าลิ้นชัก นายยุทธนาเคยเข้าออกจากบ้านโจทก์ดังนี้เมื่อสถานที่ดังกล่าวอยู่ภายในบ้านพักของโจทก์นายยุทธนาก็เป็นผู้เช่าบ้านอยู่ใกล้บ้านของโจทก์ มิใช่คนแปลกหน้า ข้อเท็จจริงเช่นนี้จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายยุทธนาลักเช็คตามฟ้องไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพียง 200,000 บาท โดยโจทก์มิได้ฎีกานับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share