แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์นอกจากขอให้บังคับจำนองเอากับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสุพรรณบุรีและในเขตอำนาจศาลจังหวัดราชบุรีแล้วโจทก์ยังฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เงินและหนังสือรับสภาพหนี้ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับสัญญาจำนองเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1และที่ 3 โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญาที่ทำกันที่สำนักงานของโจทก์สาขาท่าเรือ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้นต้องถือว่าคำฟ้องส่วนที่ให้บังคับตามสัญญากู้เงิน สัญญาค้ำประกัน และหนังสือรับสภาพหนี้มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดกาญจนบุรีแม้ว่าโจทก์จะฟ้องบังคับจำนองด้วย กรณีเป็นเรื่องโจทก์อาจเสนอคำฟ้องต่อศาลได้สองศาล โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้เพราะเป็นสถานที่ที่เกิดมูลคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 5 ประมวลรัษฎากรมิได้ระบุให้สัญญาจำนองต้อง ปิดอากรแสตมป์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 25,284,937.22บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน8,797,942.83 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 23,121,277.02 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 7,111,465.69 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 1,825,317.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 600,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11240 และ 11233ตำบลทุ่งคอก อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี กับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แบบ น.ส.3 เลขที่ 136/111และ 137 ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้งหมดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระโจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสามให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ โจทก์ต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ การที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีจึงไม่ชอบ และให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้จำนวน25,284,937.22 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 8,797,942.83 บาท จำเลยที่ 2 ชำระหนี้จำนวน23,121,277.02 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 7,111,465.69 บาท จำเลยที่ 3 ชำระหนี้จำนวน1,825,317.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีจากต้นเงิน 600,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11240, 11233 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์แบบ น.ส.3 เลขที่ 136/111 และ 137พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เป็นจำนวน 23,121,277.02 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 7,111,465.69 บาทและจำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เป็นจำนวน1,825,317.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีจากต้นเงิน 600,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยทั้งสามว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีชอบหรือไม่ เห็นว่า นอกจากโจทก์ฟ้องบังคับจำนองแล้ว โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เงินและหนังสือรับสภาพหนี้ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับสัญญาจำนองเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญา ซึ่งสัญญาดังกล่าวยกเว้นสัญญาจำนองล้วนแต่ทำกันที่สำนักงานของโจทก์ สาขาท่าเรือจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดกาญจนบุรีดังนั้นคำฟ้องส่วนที่ให้บังคับตามสัญญากู้เงิน สัญญาค้ำประกันและหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งทำกันที่จังหวัดกาญจนบุรีต้องถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดกาญจนบุรี แม้ว่าโจทก์จะฟ้องบังคับจำนองด้วย กรณีเป็นเรื่องโจทก์อาจเสนอคำฟ้องต่อศาลได้สองศาล โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้เพราะเป็นสถานที่ที่เกิดมูลคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาข้อที่ 2, 3 และ 4 ของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงิน สัญญาจำนอง และหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยที่ 3ทำสัญญาค้ำประกันกับสัญญาจำนองตามฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินสัญญาจำนองและหนังสือรับสภาพหนี้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองตามฟ้อง จำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดตามข้อความในเอกสารดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดไม่เกิน 600,000 บาทนั้น เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองจำเลยที่ 3 ยอมรับชำระหนี้จำนองจำนวน 600,000 บาท รวมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างชำระด้วย ดังนั้น นอกจากจำเลยที่ 3 จะต้องชำระต้นเงิน600,000 บาท แล้ว จำเลยที่ 3 ยังต้องชำระดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวด้วย
ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า สัญญาจำนองมิได้ปิดอากรแสตมป์และบางฉบับปิดไม่ครบถ้วนนั้น เห็นว่า ประมวลรัษฎากรมิได้ระบุว่าสัญญาจำนองจะต้องปิดอากรแสตมป์ ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน