คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6132/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา 31จำเลยจึงไม่อาจสละหรือโอนการครอบครองที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ได้ การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครองให้แก่กันภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) แม้พ้นกำหนดห้ามโอนสิบปีแล้วสัญญาซื้อขายดังกล่าวก็ไม่มีผลบังคับ โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 648 เล่ม 7 ก.หน้า 48 เลขที่ 94 ตำบลปากแพรก กิ่งอำเภอบางสะพานน้อย(อำเภอบางสะพานน้อย) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดีกว่าจำเลยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไปและให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ตามฟ้องให้แก่โจทก์ต่อเจ้าหน้าที่ ณ ที่ว่าการอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาหรือขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตามฟ้อง โดยให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดินของจำเลยห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของจำเลยอีกต่อไป ให้โจทก์ไปยื่นคำขอถอนอายัดที่ดินพิพาทของจำเลยต่อนายอำเภอบางสะพานน้อยหากโจทก์ไม่ไปก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้างเป็นมูลฟ้องคดีนี้เป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้ขับไล่โจทก์กับบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 648 ตำบลปากแพรกกิ่งอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ห้ามโจทก์กับบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงดังกล่าวกับให้เพิกถอนการอายัดที่โจทก์ได้ขออายัดไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามฟ้อง คำให้การฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้งฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2530จำเลยทำสัญญาขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 648 เล่ม 7 ก. เลขที่ดิน 94 ตำบลปากแพรก กิ่งอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 27 ไร่ 91 ตารางวาให้โจทก์ในราคา 235,000 บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายท้ายฟ้องหมาย 2 ที่ดินพิพาทนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2523 และได้ระบุไว้ว่าที่ดินแปลงนี้ตกอยู่ในบังคับห้ามโอน 10 ปี ตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดก ปัญหาวินิจฉัยมีว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2530 ว่า จำเลยสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันทำหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31แสดงว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการจัดให้ราษฎรทำกินบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนาจะปกป้องราษฎรให้มีที่ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี และภายในระยะเวลาดังกล่าวทางราชการได้ควบคุมที่ดินนั้นอยู่ ยังไม่ปล่อยให้เป็นสิทธิเด็ดขาดแก่ผู้ครอบครองจนกว่าจะพ้นระยะเวลาที่มีข้อบังคับห้ามโอน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่16 เมษายน 2533 ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจสละหรือโอนการครอบครองที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ได้ การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครองให้แก่กันภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายก็เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายสัญญาซื้อขายตามสำเนาท้ายฟ้องจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นโมฆะแล้ว แม้พ้นกำหนดห้ามโอนสิบปีแล้วสัญญาซื้อขายดังกล่าวก็ไม่มีผลบังคับ โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share