แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2539จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมจำนวน 240,000 บาท กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2540 ตามสัญญากู้เงิน เอกสารหมาย จ.5 เมื่อสัญญาครบกำหนด จำเลยขอผัดผ่อนการชำระหนี้ไปอีก 2 เดือน โดยทำสัญญากู้เงินฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย จ.6 พร้อมออกเช็คพิพาทจำนวนเงิน240,000 บาท ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมตามเอกสารหมายจ.3 เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์ร่วมได้นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินด้วยเหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว สำหรับสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยนั้น ปรากฏว่ายังมิได้ปิดอากรแสตมป์
++ คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
++ เห็นว่า เมื่อสัญญากู้อันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้ปิดอากรแสตมป์ ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จึงรับฟังไม่ได้ว่ามีการทำสัญญากู้กันเป็นหนังสืออันถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ เมื่อการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยมีจำนวนกว่าห้าสิบบาทขึ้นไป หนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวจึงไม่อาจจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 แม้โจทก์ร่วมจะได้ยื่นสัญญากู้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอเสียอากร และได้รับอนุมัติให้เสียอากรพร้อมกับเรียกเก็บเงินเพิ่มอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 113ภายหลังเมื่อได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อันมีผลให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ดังที่โจทก์ร่วมอ้างก็ตาม แต่ก็เป็นการทำให้หนี้นั้นมีหลักฐานและสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ในภายหลังจากวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดให้ใช้เงินอันถือว่าเป็นวันที่ออกเช็คแล้ว
++ ดังนั้น เมื่อวันที่จำเลยออกเช็ค หนี้ตามสัญญากู้รายนี้ยังไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ++
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ เวลากลางวันจำเลยได้ออกเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหาดใหญ่ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๐ จำนวนเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นางสาวศิราณี สิขิวัฒน์ ผู้เสียหาย เพื่อเป็นการชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับกันได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้เสียหายได้นำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ เหตุเกิดที่ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวศิราณี สิขิวัฒน์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา๔ (๒) จำคุก ๔ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ว่า เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมจำนวน ๒๔๐,๐๐๐ บาท กำหนดชำระคืนภายในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ ตามสัญญากู้เงิน เอกสารหมาย จ.๕ เมื่อสัญญาครบกำหนด จำเลยขอผัดผ่อนการชำระหนี้ไปอีก ๒ เดือน โดยทำสัญญากู้เงินฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย จ.๖ พร้อมออกเช็คพิพาทจำนวนเงิน๒๔๐,๐๐๐ บาท ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมตามเอกสารหมายจ.๓ เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์ร่วมได้นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินด้วยเหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว สำหรับสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๖ นั้น ปรากฏว่ายังมิได้ปิดอากรแสตมป์ คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อสัญญากู้อันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้ปิดอากรแสตมป์ ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ จึงรับฟังไม่ได้ว่ามีการทำสัญญากู้กันเป็นหนังสืออันถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ เมื่อการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยมีจำนวนกว่าห้าสิบบาทขึ้นไป หนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวจึงไม่อาจจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๓ แม้โจทก์ร่วมจะได้ยื่นสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.๕ และจ.๖ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอเสียอากร และได้รับอนุมัติให้เสียอากรพร้อมกับเรียกเก็บเงินเพิ่มอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๓ภายหลังเมื่อได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙ อันมีผลให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ดังที่โจทก์ร่วมอ้างในฎีกาก็ตาม แต่ก็เป็นการทำให้หนี้นั้นมีหลักฐานและสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ในภายหลังจากวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดให้ใช้เงินอันถือว่าเป็นวันที่ออกเช็คแล้ว ดังนั้น เมื่อวันที่จำเลยออกเช็ค หนี้ตามสัญญากู้รายนี้ยังไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๔ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.นายสมชาย พงษธานายกมล เพียรพิทักษ์นายจรัส พวงมณี