แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ โจทก์ส่งมอบการครอบครองให้จำเลยแล้ว จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ดังนี้ ตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น หาได้หมายถึงที่ดินที่ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเองไม่ การที่จำเลยยกเหตุเป็นข้อต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยการซื้อมาจากโจทก์ จึงไม่เกิดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 336 หมู่ที่ 5 ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา โจทก์มอบอำนาจให้นางเอื้อน กิ้มเชื้อ ฟ้องและดำเนินคดีแทน เดิมโจทก์กู้เงินจำเลยจำนวน 5,000 บาท และมอบที่ดินของโจทก์ดังกล่าวให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ต่อมาเมื่อกลางปี 2536 โจทก์ประสงค์ชำระเงินคืน แต่จำเลยไม่ยอมรับ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยรับเงินกู้และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2536 จำเลยได้รับหนังสือแล้วแต่เพิกเฉย นับตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2537 จนถึงปัจจุบัน จำเลยและบริวารยังเข้าไปไถนาในที่ดินพิพาททำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่อาจให้ผู้อื่นซึ่งจะได้ค่าเช่าปีละ 2,000 บาท หรือหากปลูกผักกระเฉดในที่ดินพิพาทนำออกขายจะได้เงินอย่างต่ำวันละ 100 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยชำระเงินกู้จำนวน 5,000 บาท และส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยถอนต้นข้างที่จำเลยปลูกไว้ในที่ดินพิพาทและชำระค่าเสียหายเป็นเงินวันละ 100 บาท แก่โจทก์จนกว่าจำเลยจะถอนต้นข้าวออกจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยให้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อปี 2529 โจทก์ทำสัญญาแบ่งขายที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 336 หมู่ที่ 5 ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 2 ไร่ ให้จำเลยในราคา 10,000 บาท โดยให้นายวุฒิพงศ์ รัตนะ เขียนสัญญาซื้อขาย จำเลยชำระเงินค่าที่ดินให้โจทก์แล้ว 5,000 บาท โจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยชำระเงินอีก 5,000 บาท เป็นค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยนับแต่ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินโดยทำนาและปลูกผักตลอดมาจนปัจจุบันด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยตกลงขายที่ดินพิพาทแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางเอื้อน กิ้มเชื้อ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตาม ส.ค. 1 เลขที่ 336 หมู่ที่ 5 ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ป.ล. 1 ในส่วนภายในเส้นสมมติ ก. ข. ค. ง. ก. เป็นของจำเลยห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์แล้ว จำเลยถึงแก่กรรม นายขาว มณีคง ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์เป็นเงิน 5,000 บาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 ตุลาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทตาม ส.ค. 1 เลขที่ 336 เนื้อที่ 3 ไร่ มีชื่อโจทก์เป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดิน ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย จ.ล. 1 โดยทิศเหนือจดที่ดินนายปานแก้ว ปัจจุบันจำเลยทำประโยชน์ ทิศใต้จดที่ดินโจทก์อีกแปลงหนึ่ง ทิศตะวันออกจดคลองและทิศตะวันตกจดที่ดินนายอ่อน หมอขวัญ เดิมโจทก์ได้กู้ยืมเงินจำนวน 5,000 บาท จากจำเลย และให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนด้านทิศตะวันตก ปี 2536 โจทก์ขอชำระหนี้คืนแก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้ ในปีเดียวกันโจทก์ได้ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท จำเลยคัดค้านว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้ว ปี 2537 จำเลยเข้าทำนาที่ดินพิพาทโจทก์คัดค้านและไปแจ้งต่อนายแนม ทองตราชู ผู้ใหญ่บ้าน จำเลยปฏิเสธว่าโจทก์มิได้จำนำที่ดินไว้โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครองครองเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองชอบหรือไม่ คดีนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์โดยโจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้ว จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา ดังนี้ ตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น หาได้หมายถึงที่ดินที่ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเองไม่ การที่จำเลยยกเหตุเป็นข้อต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยการซื้อมาจากโจทก์ จึงไม่เกิดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน โจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.