แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การไต่สวนมูลฟ้องเป็นกระบวนไต่สวนของศาลเพื่อวินิจฉัยถึงมูลคดีซึ่งจำเลยต้องหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (12) จึงเป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์เท่านั้น ยังไม่เกี่ยวกับจำเลย คดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง ก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ แสดงว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จึงเป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์ ยังไม่เกี่ยวกับจำเลยหรือมีผลผูกพันจำเลยในชั้นพิจารณา ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่จึงยังไม่ยุติ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2226/2556 ของศาลชั้นต้น
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายจึงมีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2226/2556 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2537 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12410 ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร จากนายดุสิต และนางสาวกันยาศิริ ในราคา 12,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 นายดุสิตและนางสาวกันยาศิริจดทะเบียนโอนที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12410 ดังกล่าวโดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2550 จำเลยเบิกความต่อศาลแพ่งในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายพีรพงศ์ เป็นจำเลย ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ม.1012/2549 ของศาลแพ่งว่า จำเลยซื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12410 จากนายดุสิตและนางสาวกันยาศิริในราคา 5,700,000 บาท ต่อมาศาลแพ่งพิพากษาขับไล่นายพีรพงศ์พร้อมบริวารออกจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12410 โดยรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12410 จากนายดุสิตและนางสาวกันยาศิริ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้นชอบหรือไม่ โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นงดไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้เสียหายโดยตรงจึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องหรือไม่ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยจะอุทธรณ์โต้แย้งปัญหานี้อีกหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้น เห็นว่า การไต่สวนมูลฟ้องเป็นกระบวนไต่สวนของศาลเพื่อวินิจฉัยถึงมูลคดีซึ่งจำเลยต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (12) จึงเป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์เท่านั้น ยังไม่เกี่ยวกับจำเลย คดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง ก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ แสดงว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จึงเป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์ ยังไม่เกี่ยวกับจำเลยหรือมีผลผูกพันจำเลยในชั้นพิจารณา ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่จึงยังไม่ยุติ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวแล้วนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายืน