คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6092/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ก้อนหินเป็นอาวุธ ทุบ ตี ทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม 2 ครั้ง ถูกที่บริเวณศีรษะด้านหลังขวาและหน้าผากของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยใช้ก้อนหิน เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้ำบวมบริเวณหน้าผากจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง
ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา 295 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว แม้ผู้เสียหายไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายพนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนได้โดยไม่ต้องมีคำร้องทุกข์และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2546 เวลากลางวัน จำเลยใช้ก้อนหินเป็นอาวุธ ทุบ ตี ทำร้ายร่างกายนายอุดร ผู้เสียหาย จำนวน 2 ครั้ง ถูกที่บริเวณศีรษะด้านหลังขวาและหน้าผากของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันและกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ระหว่างพิจารณานายอุดร ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 3 เดือน เมื่อไม่มีปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 เห็นควรเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน มีกำหนด 3 เดือน สำหรับคำร้องของนายอุดร ที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ฉบับลงวันที่ 9 สิงหาคม 2547 ให้ยกเสีย
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้ก้อนหินเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้ำบวมบริเวณหน้าผาก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร มีแผลถลอกบนรอยช้ำ ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.1 เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ก้อนหินเป็นอาวุธ ทุบ ตี ทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม 2 ครั้ง ถูกที่บริเวณศีรษะด้านหลังขวาและหน้าผากของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ดังนี้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาประการต่อไปว่าเมื่อผู้เสียหายสมัครใจวิวาทจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์จำเลยนั้น เห็นว่า ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว แม้ผู้เสียหายไม่ใช่ผู้เสียตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนได้โดยไม่ต้องมีคำร้องทุกข์และพนักงานอัยการโจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share