แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเรียกให้จำเลยส่งมอบทรัพย์คืน หากไม่คืนให้ชำระราคาให้แก่โจทก์นั้น ราคาทรัพย์ที่ใช้แทนดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคหนึ่ง จึงเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น และโจทก์สามารถเรียกดอกเบี้ยในราคาทรัพย์ระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง และ 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนแม่พันธุ์โคนมให้แก่โจทก์ ถ้าไม่คืนให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระราคา 57,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบแม่พันธุ์โคนม 3 ตัว ที่รับไปคืนโจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ส่งคืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระราคาเป็นเงิน 57,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (31 มกราคม 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,200 บาท แทนโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายแม่พันธุ์โคนมจากโจทก์ในราคา 60,000 บาท และรับแม่พันธุ์โคนมไปเลี้ยงโดยตกลงว่ากรรมสิทธิ์ในแม่พันธุ์โคนมยังเป็นของโจทก์ ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ชำระค่าแม่พันธุ์โคนมให้แก่โจทก์เป็นงวด โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ได้ชำระราคาค่าแม่พันธุ์โคนมให้แก่โจทก์ 2 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระให้แก่โจทก์อีก จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องส่งมอบแม่พันธุ์โคนมให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ส่งคืน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันชำระราคาเป็นเงิน 57,500 บาท ให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องร่วมกันรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 57,500 บาท นับแต่วันฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การเรียกค่าเสียหายจำนวนเงิน 57,500 บาท นั้น เป็นการเรียกเอาค่าเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคหนึ่ง จึงเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น และโจทก์สามารถเรียกดอกเบี้ยในราคาทรัพย์ระหว่างผิดนัดจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 222 และ 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 57,500 บาท นับแต่วันฟ้อง (31 มกราคม 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.