คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกได้หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้ไปซึ่งหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งเป็นของจำเลย และจำเลยนำมามอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวซึ่งโจทก์ร่วมได้ชำระราคาค่าที่ดินให้จำเลยไปครบถ้วนแล้ว โดยจำเลยหลอกลวงว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปเป็นประกันที่ศาลโจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยไปความจริงจำเลยไม่ได้มีคดีที่ศาลและมิได้มีเจตนาจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปเป็นหลักประกันที่ศาล แต่เมื่อได้ความว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ยังเป็นของจำเลยเอง จึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปได้ใจความว่า จำเลยมีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ร่วมได้รับการจดทะเบียนรับโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งโจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าวจำเลยกับพวกได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินนี้ให้แก่ ช. โดยเสน่หาแล้วจำเลยกับพวก ช. ได้ร่วมกันจดทะเบียนโอนขายสิทธิในที่ดินนี้แก่ว. ดังนี้ ย่อมแปลความได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าหากจำเลยไม่โอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมตามสัญญา โจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยกับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวงนางสิงห์ทอง ปัสสาวะโท ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยมีคดีอยู่ที่ศาลชั้นต้น จำเลยกับพวกขอยืมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 4550 ตำบลคึมชาด อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 38 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา ราคา 50 บาท ของจำเลยซึ่งจำเลยส่งมอบให้ผู้เสียหายยึดถือครอบครองไว้เป็นประกันตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เพื่อนำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันที่ศาลชั้นต้นความจริงแล้วจำเลยไม่ได้มีคดีที่ศาลชั้นต้นและจำเลยกับพวกมิได้มีเจตนาจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ดังกล่าวไปเป็นหลักทรัพย์ประกัน โดยการหลอกลวงดังว่านั้นผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้มอบเอกสารดังกล่าวให้จำเลยกับพวกรับไป และจำเลยกับพวกอีก 2 คน โดยเจตนาเพื่อมิให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขาย โดยเป็นผู้จะซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 4550 ตำบลคึมชาด อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่นและได้ชำระราคาที่ดินให้จำเลยครบถ้วนแล้วเป็นเงิน 106,000 บาท ได้รับชำระหนี้โดยจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้เสียหายจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้โอนที่ดินดังกล่าวให้ผู้เสียหาย โดยจำเลยกับพวกได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเซ็ง ช่างทำ โดยการยกให้ และต่อมาจำเลยกับนายเซ็งได้ร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่นายชวลิต งามเจริญมงคล โดยการขาย การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวแล้วเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของจำเลยได้รับชำระหนี้ดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 350, 83 ให้จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวหรือใช้ราคา50 บาท แก่ผู้เสียหาย

ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นางสิงห์ทอง ปัสสาวะโท ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 350, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 9 เดือน และให้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) หรือใช้ราคาเป็นเงิน 50 บาท แก่โจทก์ร่วม จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงจากคำฟ้องและที่จำเลยให้การรับสารภาพฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกได้หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้ไปซึ่งหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามฟ้องซึ่งเป็นของจำเลยและจำเลยนำมามอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ร่วมได้ชำระราคาค่าที่ดินจำนวน 106,000 บาท ให้จำเลยไปครบถ้วนแล้ว โดยจำเลยหลอกลวงว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวไปเป็นประกันที่ศาล โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) นั้นให้จำเลยไป ความจริงจำเลยไม่ได้มีคดีที่ศาลและมิได้มีเจตนาจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) นั้นไปเป็นหลักประกันที่ศาลแต่อย่างใด และจำเลยด้วยเจตนาที่จะมิให้โจทก์ร่วมได้รับการจดทะเบียนรับโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งโจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าว จำเลยกับพวกได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินนี้ให้แก่นายเซ็ง ช่างทำ โดยเสน่หา แล้วจำเลยกับนายเซ็ง ช่างทำได้ร่วมกันจดทะเบียนโอนขายสิทธิในที่ดินนี้แก่นายชวลิต งามเจริญมงคล โดยโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,350, 83 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ดังต่อไปนี้

ข้อ 1. การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานฉ้อโกงจะต้องได้ความว่าโดยการหลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งนั้น ผู้กระทำผิดได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม แต่เมื่อได้ความว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามฟ้องยังเป็นของจำเลยเอง จึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ข้อ 2. ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ครบองค์ประกอบความผิดแล้วหรือไม่ศาลฎีกาได้ตรวจฟ้องของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องสรุปได้ใจความว่าจำเลยมีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ร่วมได้รับการจดทะเบียนรับโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งโจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าวจำเลยกับพวกได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินนี้ให้แก่นายเซ็ง ช่างทำ โดยเสน่หา แล้วจำเลยกับนายเซ็ง ช่างทำ ได้ร่วมกันจดทะเบียนโอนขายสิทธิในที่ดินนี้แก่นายชวลิต งามเจริญมงคล ดังนี้ ย่อมแปลความได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าหากจำเลยไม่โอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมตามสัญญาโจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 1,000 บาท จำเลยเป็นคนชรามีอายุ 80 ปีเศษแล้วและไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share