คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกบ้านพิพาทโดยอ้างกรรมสิทธิ์ตามพินัยกรรมของบิดาโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อบ้านพิพาทไว้จากบิดาโจทก์ มิได้ต่อสู้อ้างเหตุว่าจำเลยเป็นภรรยาทายาทผู้รับมรดกของบิดาโจทก์อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับอายุความฟ้องเกิน 1 ปี เช่นนี้ คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับอายุความมรดก เพราะคนภายนอกมายกอายุความมรดกต่อสู้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บิดาโจทก์เช่าที่ดินราชพัสดุของกองรักษาที่หลวงกระทรวงการคลังปลูกบ้านอยู่ ๑ หลัง และได้ให้จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ เข้าอยู่อาศัย บิดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ต่อมาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม แต่จำเลยที่ ๑ ได้เอาที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ – ๓ เช่า โจทก์คัดค้านการเช่าไปยังจำเลยที่ ๑ เพื่อให้โจทก์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๒ – ๓ ขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ – ๓ ให้จำเลยที่ ๑ ยอมให้โจทก์เป็นผู้เช่าแทน ให้แสดงว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ขับไล่จำเลยที่ ๒-๓-๔ ออกไปและขอให้จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์รายเดือน ๆ ละ ๑,๐๐๐ บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากบ้านโจทก์
จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ ให้การว่า จำเลยซื้อบ้านพิพาทไว้จากบิดาโจทก์และครอบครองมากว่า ๑๐ ปีแล้ว บิดาโจทก์มีสติวิปลาศขณะทำพินัยกรรม การเช่าที่ดินทำโดยสุจริตฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดก และฟ้องแย้ง ขอให้แสดง ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง และขอให้แสดงว่าสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ – ๓ เป็นสัญญาที่สมบูรณ์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า สัญญาที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ – ๓ มีเงื่อนไขว่า หากจำเลยที่ ๒ – ๓ แพ้คดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทในที่เช่า ก็ยอมเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๑
โจทก์ขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อตัดฟ้องของจำเลยเรื่องอายุความนั้น คดีนี้ไม่ใช่เรื่องขอแบ่งมรดกของบิดาโจทก์ จะนำเอาอายุความมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔ มาใช้ไม่ได้ และวินิจฉัยว่า บิดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่โจทก์จริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าพินัยกรรม ไม่สมบูรณ์ เพราะขณะทำพินัยกรรม บิดาโจทก์มีสติไม่ปรกตินั้น เป็นการนอกประเด็น เพราะประเด็นมีเพียงว่าได้ทำพินัยกรรมจริง หรือไม่เท่านั้น แต่ก็ฟังว่าขณะทำพินัยกรรมมีสติดี บ้านพิพาทเป็นของบิดาโจทก์มิได้ขายให้แก่จำเลยที่ ๓ – ๔ พิพากษาว่าบ้านพิพาทตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรม ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ ๒๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่า จะออกจากบ้านพิพาท
จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วจำเลยตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังบิดาโจทก์ตายเกินกว่า ๑ ปี นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกบ้านพิพาทโดยอ้างกรรมสิทธิ์ตามพินัยกรรมของบิดาโจทก์ จำเลยที่ ๓ – ๔ ต่อสู้ว่าได้ซื้อเรือนพิพาทไว้จากบิดาโจทก์ จำเลยมิได้ต่อสู้อ้างเหตุว่า จำเลยที่ ๒ เป็นภรรยาทายาทผู้รับมรดกของบิดาโจทก์อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับอายุความฟ้องเกิน ๑ ปี ไว้ ณ ที่ ใดเลย เป็นแต่จำเลยต่อสู้ว่า ได้ซื้อเรือนพิพาทไว้จากบิดาโจทก์ เมื่อจำเลยมิได้ตั้งประเด็นมาดังนี้แล้ว แม้ความจะปรากฎในคำพยานหรือคำวินิจฉัยของศาลล่างตอนหนึ่งตอนใดก็ดี ก็เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นทั้งสิ้น ไม่เป็นโยชน์แก่คดีของจำเลยอย่างใดเลย เพราะคนภายนอกมายกอายุความมรดกต่อสู้ไม่ได้
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยครอบครองมาเกิน ๑๐ ปี นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๗ ประกอบด้วย มาตรา ๒๓๘ ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ว่าบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของบิดาโจทก์ จำเลยเป็นผู้อาศัย ฎีกาจำเลยข้อนี้โต้แย้งข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๘
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share