คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6079/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กรณีที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิม จำเลยที่ 2แถลงในวันสืบพยานแต่เพียงว่า “การดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง” เพียงเท่านี้ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้แจ้งต่อศาลแล้วว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลไม่มีหน้าที่ที่จะต้องสอบถามจำเลยที่ 2 เสียก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันสืบพยานด้วยนั้นไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่า หากมีกรณีดังกล่าว ศาลจะต้องสอบคำร้องขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนจึงจะมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 เท่ากับเป็นการแปลความเพิ่มหลักเกณฑ์ลงไปในมาตรา 197 วรรคสอง เดิม ซึ่งไม่ถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นจะสอบคำขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เป็นดุลพินิจหากศาลใช้ดุลพินิจสอบคำขอเลื่อนคดีแล้วมีคำสั่งให้เลื่อนคดี วันนัดดังกล่าวก็มิใช่วันสืบพยานตามกฎหมายอีกต่อไป แต่สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ไปแล้วตามมาตรา 197 วรรคสอง เดิม ประกอบกับมาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิมคำขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ย่อมตกไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,448,616.98 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25ต่อปี ของต้นเงิน 10,669,158.09 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 25,889 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้บังคับเอากับทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่น

จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยที่ 2 มาศาล ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 4 มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องมายื่นขอเลื่อนคดี ส่วนโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นสอบแล้ว ทนายจำเลยที่ 2แถลงว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่งศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 4 ไม่จำต้องพิจารณาสั่ง

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 19)พ.ศ. 2543 ใช้บังคับ จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ยื่นฟ้องนั้นบังคับแก่คดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น สำหรับฎีกาของโจทก์เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุโจทก์ขาดนัดพิจารณา ผลจึงมีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิมว่า โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีหรือมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ ทางแก้ของโจทก์หากประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปมีเพียงประการเดียวคือ จะต้องเสนอคำฟ้องใหม่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความคดีของโจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาตั้งแต่ต้น การที่โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยทั้งสี่เพราะกฎหมายไม่ห้ามฝ่ายจำเลยที่จะอุทธรณ์ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาขึ้นมาใหม่ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคหนึ่งเดิมการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ต่อไปว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ โดยไม่สั่งงดสืบพยานโจทก์นัดสืบพยานจำเลยต่อไป เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในกรณีที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 201 วรรคหนึ่งเดิม หากจำเลยมิได้แจ้งต่อศาลว่า ตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดี แต่ถ้าจำเลยแจ้งต่อศาลว่าตนตั้งใจดังกล่าวมานั้น ศาลจะมีคำสั่งว่า โจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียวตามมาตรา 201 วรรคสองในกรณีหลังนี้ หากวันสืบพยานครั้งแรกเป็นวันสืบพยานโจทก์ จึงจะมีการสั่งงดสืบพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยต่อไป ดังที่จำเลยที่ 2ฎีกาได้ การที่จำเลยที่ 2 แถลงในวันสืบพยานแต่เพียงว่า “การดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง” เพียงเท่านี้ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้แจ้งต่อศาลแล้วว่า ตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป และศาลไม่มีหน้าที่ที่จะต้องสอบถามจำเลยที่ 2 เสียก่อน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ จึงชอบด้วยกฎหมายฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้วสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ โดยไม่พิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เสียก่อนนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายปัญหานี้ แม้โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง สำหรับปัญหานี้เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสอง เดิมศาลจะสั่งว่าคู่ความขาดนัดพิจารณาจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือคู่ความต้องไม่มาศาลในวันสืบพยานและคู่ความฝ่ายนั้นมิได้ร้องขอเลื่อนคดี หรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน คดีนี้จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ครบถ้วนแล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันสืบพยานด้วยนั้น ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่า หากมีกรณีดังกล่าวศาลจะต้องสอบคำร้องขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน จึงจะมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาได้ ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4เท่ากับเป็นการแปลความเพิ่มหลักเกณฑ์ลงไปในมาตรา 197 วรรคสองซึ่งไม่ถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นจะสอบคำขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่เป็นดุลพินิจ หากศาลใช้ดุลพินิจสอบคำขอเลื่อนคดี แล้วมีคำสั่งให้เลื่อนคดีวันนัดดังกล่าวก็มิใช่วันสืบพยานตามกฎหมายอีกต่อไป แต่สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ไปแล้วตามมาตรา 197 วรรคสอง ประกอบกับ มาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิม คำขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ย่อมตกไปศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share