คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2691/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

นอกจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 257,565 บาทแก่จำเลยแล้วยังพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 454,400 บาท แก่โจทก์ด้วยดังนี้ หากต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์และเป็นผลให้คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้วจำเลยกลับมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์อีก จำเลยย่อมไม่ได้รับความเสียหายจากการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 454,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 257,565 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยกับให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดระยะเวลาจึงไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด

โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์และยื่นคำร้องขออนุญาตไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องทั้งสองฉบับว่า โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ให้ยกคำร้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์มิได้นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นนั้น สืบเนื่องจากเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้แพ้คดีจะต้องถูกบังคับคดีตามคำพิพากษา หากผู้แพ้คดีจะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกชั้นหนึ่งว่าคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นชอบหรือไม่กระบวนการในการบังคับคดีย่อมต้องล่าช้าไป โดยเฉพาะหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ผู้ชนะคดีอาจต้องเสียประโยชน์เพราะความล่าช้าดังกล่าวโดยมิใช่ความผิดของตน จึงควรให้ผู้ชนะคดีมีหลักประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษา มิฉะนั้น ผู้แพ้คดีอาจใช้บทบัญญัติของกฎหมายในส่วนนี้เพื่อประวิงการบังคับคดี แต่คดีนี้นอกจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 257,565 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยแล้ว ศาลชั้นต้นยังพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 454,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มีนาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วยดังนี้ หากต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์และเป็นผลให้คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้วจำเลยยังกลับมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์อีกจำเลยย่อมไม่ได้รับความเสียหายจากการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แต่ประการใด จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเหตุดังกล่าว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่แล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี

Share