แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำผิดแต่จำเลยกลับเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยการร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่ แล้วจำเลยไม่จับกุมผู้ร่วมเล่นไพ่รัมมี่ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร่วมเล่นการพนันหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้ผู้เสียหายทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีนโดยวิธีสูดรับเอาควันเข้าสู่ร่างกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 93 วรรคท้าย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องทั้งสองฐานดังกล่าว โจทก์คงอุทธรณ์เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสองเท่านั้น ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ตามมาตรา 93 วรรคท้ายอันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษมาด้วย คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212
สำนวนแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 8 เดือน สำนวนที่สอง ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเมื่อศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วไม่อาจนับโทษต่อกันได้เพราะคดีทั้งสองสำนวนได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้นำโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนนับโทษต่อกันตามที่ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 309 วรรคสอง,91, 33 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91,93, 102 ริบอาวุธปืนและซองกระสุนปืนของกลางและนับโทษจำเลยในคดีทั้งสองสำนวนนี้ต่อกัน
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 เดือน ปรับ 7,500บาท จำเลยไม่เคยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยคุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม 4 ครั้ง จนกว่าจะครบกำหนดการคุมความประพฤติ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิด ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 309 วรรคสอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้าย ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก 1 ปี ฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้ายอันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตลดโทษหนึ่งในสามทุกกระทงความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก 8 เดือน ฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 52(1) จำคุกตลอดชีวิต ส่วนความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 8 เดือน ไม่รอการลงโทษ ไม่คุมความประพฤติจำเลย และไม่ลงโทษปรับ เมื่อลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจนำโทษจำคุกกระทงอื่นมารวมลงโทษได้ คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ริบอาวุธปืนและซองกระสุนปืนของกลาง คำขอให้นับโทษต่อให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลย นายสุรเดช อินหนองฉาง นายอุทัย แสงหล้าและนายน้อย ไม่ทราบนามสกุลร่วมกันเล่นการพนันไพ่รัมมี่พนันเอาทรัพย์สินและจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต คดีนี้ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า จำเลยนายสุรเดชนายอุทัย และนายน้อย ได้ร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่ที่บ้านนายน้อย เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำผิดแต่จำเลยกลับเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยการร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่แล้วจำเลยไม่จับกุมผู้ร่วมเล่นไพ่รัมมี่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร่วมเล่นการพนันหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อสองของจำเลยว่า จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้นางบาหยัน ทองเถา และนางพรธิพร ทานะศิลป์ ผู้เสียหายทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีนหรือไม่โจทก์มีนายสุรเดช อินหนองฉาน สามีของนางบาหยันซึ่งร่วมเล่นการพนันกับจำเลยในวันเกิดเหตุเบิกความว่า จำเลยเล่นการพนันเสียจึงออกไปนั่งเสพเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณนอกบ้าน แล้วนั่งพูดคนเดียวสักพักหนึ่งจำเลยลุกเข้ามาหาพยาน ถามพยานว่าเป็นตำรวจที่ไหน แล้วจำเลยใช้เท้าถีบหลังพยานและเอาอาวุธปืนจ่อศีรษะพยานพูดว่าจะยิงพยาน นายน้อยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเข้ามาห้ามไว้ จำเลยก็จะยิงนายน้อยด้วย จำเลยส่ายอาวุธปืนไปมาและไล่ทุกคนออกจากบ้านให้อยู่เฉพาะนางบาหยันกับนางพรธิพร พยานหลบไปซ่อนในห้องน้ำ จำเลยถามหาตัวพยานว่า “ไอ้ดำอยู่ที่ไหน” พยานแง้มประตูห้องน้ำแอบมอง เห็นจำเลยล้วงเอาเมทแอมเฟตามีนประมาณ4 ถึง 5 เม็ด ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนบังคับให้นางบาหยันและนางพรธิพรเสพเมทแอมเฟตามีน แต่คนทั้งสองไม่ยอมเสพ จำเลยใช้อาวุธปืนตบนางพรธิพร เมื่อถูกตบนางพรธิพรจึงยอมเสพเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยใส่ซองบุหรี่จุดไฟลนให้สูดควันเข้าไป แล้วส่งมาให้นางบาหยันเสพนางบาหยันไม่ยอมเสพ จำเลยง้างมือจะตบนางบาหยันจึงยอมเสพจำเลยถามหาพยาน พยานปีนหนีออกทางช่องลมของห้องน้ำ แล้วไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่ร้านอาหาร และโจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกธารา เครือละม้าย ผู้จับกุมจำเลยเบิกความสนับสนุนว่า เมื่อพยานได้รับแจ้งเหตุแล้ว ได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ เมื่อทราบจากคนข้างเคียงที่มามุงดูเหตุการณ์ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีแล้ว พยานได้วิทยุไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกรวยติดต่อให้ผู้บังคับบัญชาของจำเลยมายังที่เกิดเหตุหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกรวยมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวได้ตะโกนเรียกจำเลย สักครู่หนึ่งจำเลยเดินออกจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกรวย และนางบาหยันกับนางพรธิพร ขณะนั้นจำเลยมีสภาพมึนเมา พยานเข้ารวบตัวจับจำเลยได้พร้อมทั้งหยิบอาวุธปืนจากเอวจำเลย แล้วปลดแม็กกาซีนเอากระสุนปืนออก จำเลยเล่าให้พยานฟังว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนตบศีรษะหญิงคนหนึ่งในบ้านเกิดเหตุ แต่พยานไม่ได้บันทึกไว้ อีกทั้งโจทก์ยังมีคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายทั้งสองและนายอุทัย แสงหล้าพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.8 โดยให้การสอดคล้องต้องกันว่า จำเลยถืออาวุธปืนบังคับให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีนโดยสูดควันจากเมทแอมเฟตามีนที่ใส่ในกระดาษตะกั่วซองบุหรี่ใช้ไฟลนข้างใต้ ซึ่งเป็นคำให้การที่ให้ต่อพนักงานสอบสวนทันทีหลังเกิดเหตุ จึงเชื่อว่าพยานดังกล่าวให้การตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีน้ำหนักน่าเชื่อถือและพยานโจทก์ทั้งหมดดังกล่าวล้วนแต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลยโดยไม่เป็นจริง จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนข่มขืนใจให้ผู้เสียหายทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีนโดยวิธีสูดรับเอาควันเข้าสู่ร่างกายการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 93 วรรคท้าย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่คดีได้ความว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องทั้งสองฐานดังกล่าวนี้โจทก์คงอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง เท่านั้น มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานข่มขืนใจให้หญิงเสพยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้าย ด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้าย อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษมาด้วย คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212และศาลฎีกาก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 93 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้เช่นกัน คงพิพากษาลงโทษจำเลยได้เพียงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ในสำนวนแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ในสำนวนที่สองศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เมื่อศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วไม่อาจนับโทษต่อกันได้ เพราะคดีทั้งสองสำนวนได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันซึ่งไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้นำโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนนับโทษต่อกันตามที่ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง ให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี4 เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 93 วรรคท้ายนอกจากที่แก้ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์