แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 10,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน จำเลยได้บุกรุกเข้าถากถางพื้นที่และนำหลักไม้แก่นไปปักล้อมที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรื้อถอนหลักไม้แก่นที่ปักล้อมที่ดินพิพาททางด้านทิศเหนือออกไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมิใช่ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยรื้อหลักไม้แก่นที่ปักในที่ดินพิพาทออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ยกฟ้องโจทก์ที่ฟ้องไม่ถูกศาลเสียด้วย แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจต่อไปภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าศาลชั้นต้นที่เป็นศาลแขวงมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้สั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยรื้อถอนหลักไม้แก่นที่ปักไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไปห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอันมีลักษณะเป็นการเถียงกรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 10,000 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(4)…”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี