แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยเรียกค่าเสียหาย เป็นการใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ในคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยโดยชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544มาตรา 76 โจทก์จึงเป็นผู้สืบสิทธิจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน เมื่อคดีเดิมอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา การที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน อันเป็นฟ้องซ้อนซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4904 และอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เลขที่ 24/6 ตรอกภานุมาศ เจริญกรุงซอย 2 แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร หากไม่ปฏิบัติให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการโดยให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าใช้จ่าย ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าพร้อมบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท
จำเลยทั้งห้าให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 4904 ตำบลวังบูรพาภิรมย์ (พาหุรัด) อำเภอพระนคร (ในพระนคร) กรุงเทพมหานคร และอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เลขที่ 24/6 ตรอกภานุมาศ เจริญกรุงซอย 2 แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 พฤษภาคม 2554) (ที่ถูก ฟ้องวันที่ 29 เมษายน 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่พิพาท กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์บางส่วน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์นอกจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับยกเว้นให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมบางส่วน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินใช้สิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยขายที่ดินให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ในฐานะผู้รับโอนย่อมรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาและใช้สิทธิหรือสืบสิทธิแทนบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยในคดีขับไล่ที่ฟ้องจำเลยที่ 1 เสมือนว่าโจทก์เป็นบุคคลคนเดียวกันกับบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยและสืบสิทธิเป็นโจทก์แทนในคดีดังกล่าว การที่โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพร้อมเรียกค่าเสียหายเช่นเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) เห็นว่า การที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยเรียกค่าเสียหายตั้งแต่ก่อนวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยที่ 1 และบริวารจะออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นการใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ในคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 76 โจทก์จึงเป็นผู้สืบสิทธิจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน เมื่อคดีเดิมอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา การที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พร้อมเรียกค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 1 และบริวารจะออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน อันเป็นฟ้องซ้อนซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ