แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518มาตรา 20 จำแนกวิธีดำเนินการไว้เป็น 2 ส่วน กล่าวคือ ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกกล่าวหาเป็นกรณีตามความในวรรคหนึ่ง ต้องได้ความว่าผู้นั้นร่ำรวยผิดปกติและไม่สามารถแสดงได้ว่าร่ำรวยขึ้นในทางที่ชอบ ให้ถือว่าผู้นั้นใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งลงโทษไล่ออกมีลักษณะครอบคลุมกว้างขวางถึงพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา มิใช่มุ่งเฉพาะแต่ตัวทรัพย์สินที่ตรวจสอบพบและให้ถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเป็นการลงโทษตามบทกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่อง แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกกล่าวหาเป็นกรณีตามความในวรรคสุดท้าย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นแสดงให้ศาลเห็นว่าตนได้ทรัพย์สินนั้นมาในทางที่ชอบ ศาลก็ไม่อาจริบทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดิน จึงเป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับตัวทรัพย์สินตามคำร้องขอซึ่งมีปัญหาเพียงว่า สมควรริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นร่ำรวยขึ้นในทางมิชอบและถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบตามความในวรรคหนึ่ง ดังนั้น คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่เป็นคำสั่งตามความในมาตรา 20 วรรคหนึ่ง เป็นคนละส่วนแยกต่างหากจากวรรคสุดท้าย โจทก์จึงมิอาจยกคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่เกี่ยวเฉพาะตัวทรัพย์สินตามคำร้องตามความในวรรคสุดท้ายขึ้นอ้างเพื่อหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่าตนร่ำรวยขึ้นในทางมิชอบและถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบได้
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ และโดยใช้ดุลพินิจตามขั้นตอน มีกฎหมายรองรับ ทั้งไม่ปรากฏว่ากระบวนการในการออกคำสั่งนั้นไม่ชอบ คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2525 มีผู้ร้องเรียนต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (สำนักงาน ป.ป.ป.) ว่าโจทก์ร่ำรวยผิดปกติขณะดำรงตำแหน่งสรรพสามิตจังหวัดชลบุรี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (คณะกรรมการ ป.ป.ป.) สอบสวนแล้วมีมติว่าโจทก์ร่ำรวยผิดปกติ จึงส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 เพื่อให้ศาลวินิจฉัยสั่งว่าทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้นเป็นของแผ่นดินและรายงานความเห็นต่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อพิจารณาสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจากราชการวันที่ 21 ตุลาคม 2528 พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้ศาลสั่งว่าทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเป็นของแผ่นดิน ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 22347/2528 จำเลยที่ 1 โดยพลเอกเปรมมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 ลงวันที่ 22 เมษายน 2530ไล่โจทก์ออกจากราชการ ต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัพย์สินที่ผู้ร้องอ้างว่าร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้นโจทก์ได้มาโดยชอบ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5597/2536 เมื่อวันที่10 ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2537 โจทก์มีหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และจำเลยที่ 4 ขอคืนสิทธิต่าง ๆ และให้แก้ไขคำสั่งที่ไล่โจทก์ออกจากราชการ วันที่ 26 มิถุนายน 2538 โจทก์ได้รับแจ้งจากนายเกษม อุณหสุวรรณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่าเมื่อโจทก์ถูกไล่ออกจากราชการโดยผลของคำสั่งดังกล่าวทางราชการก็ไม่จำต้องพิจารณาสิทธิประโยชน์ของทางราชการที่โจทก์จะพึงได้รับหลังจากนั้น อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ คำสั่งที่ไล่โจทก์ออกจากราชการเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 และให้ถือว่าโจทก์ยังรับราชการและนับเวลาหรืออายุราชการของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2530 จนถึงวันเกษียณอายุราชการให้จ่ายเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญเงินช่วยเหลือค่าครองชีพข้าราชการบำนาญแก่โจทก์จนตลอดชีวิตคำนวณจากวันที่ 1 มิถุนายน 2530 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2539 เป็นเงิน 1,833,373 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้โจทก์ได้รับสิทธิในฐานะข้าราชการบำนาญเดือนละ 22,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนตลอดชีวิต หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยทั้งสี่ดำเนินการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงตามสิทธิที่โจทก์พึงได้รับตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2525 มีผู้ร้องเรียนต่อสำนักงาน ป.ป.ป. ว่าโจทก์ร่ำรวยผิดปกติขณะดำรงตำแหน่งสรรพสามิตจังหวัดชลบุรีคณะกรรมการ ป.ป.ป. สอบสวนแล้วมีมติว่าโจทก์ร่ำรวยผิดปกติ จึงส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้วินิจฉัยสั่งว่าทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้นเป็นของแผ่นดิน ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2528 พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 22347/2528 ขอให้ศาลสั่งว่าทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเป็นของแผ่นดิน ระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวคณะกรรมการ ป.ป.ป. รายงานความเห็นต่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และวันที่ 22 เมษายน 2530 พลเอกเปรมมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 ไล่โจทก์ออกจากราชการ ต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาโดยชอบ ให้ยกคำร้องตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาเอกสารหมาย จ.4 ระหว่างวันที่ 10 ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2537โจทก์ส่งสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 เพื่อพิจารณาคืนสิทธิต่าง ๆ ที่โจทก์ควรจะได้รับระหว่างที่ถูกไล่ออกจากราชการและขอให้แก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งว่าเมื่อโจทก์ถูกไล่ออกจากราชการแล้วจึงไม่จำต้องพิจารณาสิทธิประโยชน์ของโจทก์ซึ่งพึงจะได้รับหลังจากนั้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 ได้หรือไม่ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อมีพฤติการณ์แสดงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดร่ำรวยผิดปกติให้คณะกรรมการพิจารณาสอบสวนและให้มีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นแสดงสินทรัพย์และหนี้สินของตนตามรายการวิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ความปรากฏว่าผู้นั้นร่ำรวยผิดปกติ และไม่สามารถแสดงได้ว่าร่ำรวยขึ้นในทางที่ชอบให้ถือว่าผู้นั้นใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ให้คณะกรรมการรายงานความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งลงโทษไล่ออก” และในวรรคสุดท้ายบัญญัติว่า “บรรดาทรัพย์สินที่คณะกรรมการวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้นให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลวินิจฉัยสั่งว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินเว้นแต่ผู้นั้นจะแสดงให้ศาลเห็นว่าตนได้ทรัพย์สินนั้นมาในทางที่ชอบ” เห็นว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวจำแนกวิธีดำเนินการไว้เป็น 2 ส่วน กล่าวคือในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกกล่าวหาเป็นกรณีตามความในวรรคหนึ่ง ต้องได้ความว่าผู้นั้นร่ำรวยผิดปกติและไม่สามารถแสดงได้ว่าร่ำรวยขึ้นในทางที่ชอบ ให้ถือว่าผู้นั้นใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบนายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งลงโทษไล่ออก มีลักษณะครอบคลุมกว้างขวางถึงพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหามิใช่มุ่งเฉพาะแต่ตัวทรัพย์สินที่ตรวจสอบพบและให้ถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบซึ่งเป็นการลงโทษตามบทกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่องแต่ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกกล่าวหาเป็นกรณีตามความในวรรคสุดท้าย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นแสดงให้ศาลเห็นว่าตนได้ทรัพย์สินนั้นมาในทางที่ชอบ ศาลก็ไม่อาจริบทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินจึงเป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับตัวทรัพย์สินตามคำร้องขอซึ่งมีปัญหาเพียงว่า สมควรริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่เท่านั้นไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นร่ำรวยขึ้นในทางมิชอบและถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบตามความในวรรคหนึ่ง ฉะนั้น คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 ซึ่งเป็นคำสั่งตามความในมาตรา 20 วรรคหนึ่ง อันเป็นคนละส่วนแยกต่างหากจากวรรคสุดท้ายโจทก์จึงมิอาจยกคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่เกี่ยวเฉพาะตัวทรัพย์สินตามคำร้องตามความในวรรคสุดท้ายขึ้นอ้างเพื่อหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่าตนร่ำรวยขึ้นในทางมิชอบและถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเมื่อคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 54/2530 เป็นคำสั่งซึ่งมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะโดยใช้ดุลพินิจตามขั้นตอนและมีกฎหมายรองรับ ทั้งโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่ากระบวนการในการออกคำสั่งนั้นไม่ชอบแต่อย่างใด คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้
พิพากษายืน