คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5014/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) นั้น มุ่งหมายถึงให้ริบตัวทรัพย์สินที่ผู้กระทำความผิดได้ใช้ในการกระทำความผิดนั้น ๆ โดยตรงคือทรัพย์สินนั้นจะต้องเกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดด้วย การที่จำเลยใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม แต่ก็มิได้ความว่าจำเลยได้ใช้รถยนต์กระบะดังกล่าวเป็นเครื่องมือหรือเป็นส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์ อันจะให้ถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้กระทำความผิด แม้การกระทำของจำเลยตามฟ้องจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรก,336 ทวิ ก็ตาม แต่ตามมาตรา 336 ทวิ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335(1) วรรคสอง หนักขึ้นเพราะเหตุที่จำเลยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาเอาทรัพย์หรือเพื่อให้จำเลยพ้นจากการจับกุมเท่านั้น รถยนต์กระบะของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยตรง ศาลริบไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า มีคนร้ายเอาแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตบางซื่อของพรรคประชาธิปัตย์ และพลโทอาชวัน อินทรเกสร ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 3 แผ่น ราคา 24,000 บาท แผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตบางซื่อพรรคประชากรไทย และนางชั้น ทองเพ่งพิศผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 4 แผ่น รวมราคา 4,000 บาท แผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตบางซื่อกลุ่มพลังไทย และนายมาโนช เต็งมณีวิวัฒน์ ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 1 แผ่น ราคา 3,000 บาท ไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าวคนร้ายได้ใช้รถยนต์กระบะจำนวน 1 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึดรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้บรรทุกแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้เสียหายทั้งสามดังกล่าวเป็นของกลาง ซึ่งทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียช่วยจำหน่ายรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์แผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงของผู้เสียหายทั้งสามไว้จากคนร้าย โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์อันเป็นการรับของโจร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 334, 335, 336 ทวิ, 357 และสั่งริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพฐานลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) (ที่ถูกมาตรา 335(1) วรรคแรก), 336 ทวิ จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ไม่ริบของกลางและลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี และปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องฐานรับของโจรนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ไม่ริบของกลาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร ของกลาง เป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) นั้น มีความมุ่งหมายถึงให้ริบตัวทรัพย์สินที่ผู้กระทำความผิดได้ใช้ในการกระทำความผิดนั้น ๆ โดยตรง คือทรัพย์สินนั้นจะต้องเกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดด้วย ซึ่งต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป สำหรับคดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยใช้รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140กรุงเทพมหานคร ของกลาง เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม แต่ก็มิได้ความว่า จำเลยได้ใช้รถยนต์กระบะดังกล่าวเป็นเครื่องมือหรือเป็นส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์แผ่นป้ายของผู้เสียหายทั้งสามอันจะให้ถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้กระทำความผิด แม้การกระทำของจำเลยตามฟ้องจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรก, 336 ทวิก็ตาม แต่ตามมาตรา 336 ทวิ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335(1) วรรคสอง หนักขึ้นเพราะเหตุที่จำเลยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสาม หรือพาเอาทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสามที่จำเลยลักได้มานั้นไป หรือเพื่อให้จำเลยพ้นจากการจับกุมเท่านั้นรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร ของกลาง จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์โดยตรง ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร ของกลางนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้ริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1ฎ-5140 กรุงเทพมหานคร ของกลางเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share