คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านทั้ง 3 ครั้งนั้นจำเลยย่อมทราบได้ว่า จำเลยยังเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 4 รายจำนวนมากน้อยเท่าใดและมีทรัพย์สินไม่พอที่จะชำระหนี้ได้ ทั้งนี้เพราะจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้วดังนั้น เมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน จึงทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่ผู้คัดค้านอ้างเหตุว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ ด้วย และการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเป็นไปตามสัญญาไม่อาจรับฟังได้ เพราะแม้จำเลยชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายอื่นด้วยแต่จำนวนที่ชำระหนี้ไม่เสมอภาคกัน ถือว่าการชำระหนี้แต่ละราย เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน คำร้องขอเพิกถอนการชำระหนี้มีการพิมพ์ผิดพลาดเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่ศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เท่านั้น ส่วนข้อความอื่นถูกต้องบริบูรณ์ ข้อผิดพลาดดังกล่าวหาใช่สาระสำคัญไม่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ผู้คัดค้านเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะการเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ ถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้อง ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ คดีล้มละลายเป็นคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยให้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2524 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2525 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2528 ตามทางสอบสวนของผู้ร้องได้ความว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525 วันที่ 5 และวันที่ 20สิงหาคม 2525 จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเจ้าหนี้รายที่ 4เป็นเงิน 87,000 บาท 87,000 บาท และ 340,000 บาท ตามลำดับรวมเป็นเงิน 514,000 บาท จำเลยได้ชำระหนี้ดังกล่าวหลังจากที่ถูกฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นเวลาที่จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว การชำระหนี้ดังกล่าวทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวและให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 514,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านบางส่วนโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ด้วยความจำเป็นตามปกติแห่งการประกอบกิจการและเพื่อประโยชน์ของจำเลย มิได้มุ่งหมายให้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ทั้งได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่นด้วย หนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ 5รายจำนวนหนี้น้อยกว่าจำนวนทรัพย์สินของจำเลยที่ผู้ร้องรวบรวมได้ การชำระหนี้ดังกล่าวจึงไม่ทำให้เจ้าหนี้รายอื่น ๆ เสียเปรียบขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้จำนวน 514,000 บาท ระหว่างจำเลยผู้ชำระหนี้กับผู้คัดค้านผู้รับชำระหนี้ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมและให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน514,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ผู้ร้องได้รวบรวมหนี้สินและทรัพย์สินของจำเลยปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย คือโจทก์ธนาคารกรุงไทย จำกัด กรมส่งเสริมสหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรเชียงใหม่ และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย รวมเป็นเงิน11,880,000 บาท ส่วนทรัพย์สินนั้นจำเลยมีที่ดิน 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 192 ตำบลช้างเผือกอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และได้จำนองไว้รวม 3อันดับ ที่ดินดังกล่าวได้ถูกยึดและขายทอดตลาดได้เงิน 6,000,000บาทเศษ เท่านั้น และวินิจฉัยว่า ขณะที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านทั้ง 3 ครั้งนั้น จำเลยย่อมทราบได้ว่าจำเลยยังเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 4 ราย จำนวนมากน้อยเท่าใดและมีทรัพย์สินไม่พอที่จะชำระหนี้ได้ ทั้งนี้เพราะจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้ว ดังนั้น เมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านจึงทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ๆที่ผู้คัดค้านอ้างเหตุว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆด้วย และการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเป็นไปตามสัญญา ไม่อาจรับฟังได้เพราะแม้จำเลยชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายอื่นด้วย แต่จำนวนที่ชำระหนี้ไม่เสมอภาคกัน ถือว่าการชำระหนี้แต่ละราย เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน ที่ผู้คัดค้านฎีกาต่อมาว่า คำร้องขอเพิกถอนการชำระหนี้เป็นคำคู่ความที่ไม่ถูกต้องอ่านไม่เข้าใจ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 และมาตรา 27 นั้น ศาลฎีกาได้ตรวจคำร้องขอเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า มีการพิมพ์ผิดพลาดเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่ศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เท่านั้น ส่วนข้อความอื่นถูกต้องบริบูรณ์ ข้อผิดพลาดดังกล่าวหาใช่สาระสำคัญไม่ อนึ่งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ผู้คัดค้านเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ยังไม่ถูกต้องเพราะการเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ ถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ปัญหานี้แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมาแต่ศาลฎีกาเห็นว่าคดีล้มละลายเป็นคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านชำระนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share