คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ ว. เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชน โดยกรอกข้อความในแบบคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนและจำเลยนำแบบคำขอดังกล่าวเสนอ ส. พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อให้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการให้แก่ ง. และ ก. เป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือบุคคลสองคนให้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนแม้จะกระทำในวันเดียวกัน สถานที่เดียวกันแต่เจตนาในการกระทำผิดเป็นคนละส่วนแยกต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม มิใช่กรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 เวลากลางวัน จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายวิษณุ สังขพันธ์ปลัดอำเภอกุมภวาปี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชน โดยกรอกข้อความในแบบคำขอมีบัตร มีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน (บ.ป.1) ว่า นายสง่า จันทรังสี เป็นญาติของจำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของจำเลยและเคยทำบัตรประจำตัวประชาชนมาแล้ว แต่บัตรชำรุด ขอมีบัตรใหม่อันเป็นความเท็จความจริงแล้วนายสง่ามิได้เป็นญาติของจำเลย ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของจำเลย และไม่เคยผ่านการทำบัตรประจำตัวประชาชนแต่อย่างใด หลังจากนั้นจำเลยได้นำแบบ บ.ป.1 ดังกล่าวเสนอนายสุเทพ ชัยวัฒน์ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อให้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งเป็นเอกสารราชการที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุเทพชัยวัฒน์ นายวิษณุ สังขพันธ์ พนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้อื่น และประชาชน จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายวิษณุปลัดอำเภอกุมภวาปี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชน โดยกรอกข้อความในแบบคำขอมีบัตรมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน (บ.ป.1) ว่า นางสาวกัลยานี แซ่จึงเป็นญาติของจำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของจำเลย และเคยทำบัตรประจำตัวประชาชนมาแล้ว แต่บัตรชำรุดขอมีบัตรใหม่ อันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วนางสาวกัลยานีมิได้เป็นญาติของจำเลย ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของจำเลยและไม่เคยผ่านการทำบัตรประจำตัวประชาชนแต่อย่างใด หลังจากนั้นจำเลยได้นำแบบ บ.ป.1 ดังกล่าวเสนอนายสุเทพ ชัยวัฒน์ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อให้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุเทพ ชัยวัฒน์ นายวิษณุ สังขพันธ์ พนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้อื่น และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267, 91

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267 เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือนรวม จำคุก 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายวิษณุ สังขพันธ์ เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชนโดยกรอกข้อความเท็จในแบบคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชน และจำเลยนำแบบคำขอดังกล่าวเสนอนายสุเทพ ชัยวัฒน์ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อให้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชน อันเป็นเอกสารราชการให้แก่นายสง่า จันทรังสี และนางสาวกัลยานี แซ่จึง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายวิษณุ นายสุเทพซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้อื่น และประชาชน เป็นการกระทำผิด โดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือบุคคลสองคนให้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชน แม้จะกระทำในวันเดียวกันสถานที่เดียวกัน แต่เจตนาในการกระทำผิดเป็นคนละส่วนแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม มิใช่กรรมเดียว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share