คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1527/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 18 หมายความถึงค่ารายปีของปีก่อนถัดจากปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำลังประเมิน มิใช่หมายความถึงค่ารายปีของปีก่อน ๆ นั้นขึ้นไป ทั้งกฎหมายก็มิได้มีความหมายว่าให้นำค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นค่ารายปีของปีต่อมาโดยตรงเป็นเพียงแต่นำมาเป็นหลักการคำนวณเท่านั้น เพราะค่ารายปีในปีต่อมาอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแล้วแต่พฤติการณ์และความเป็นจริง
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโรงงานโจทก์ พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินได้ปฏิบัติไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และตามหนังสือสั่งการของกรุงเทพมหานคร ทั้งเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์โดยส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบเกี่ยวกับขนาด สภาพโรงงานของโจทก์เพื่อจะนำมาพิจารณาเทียบกัน พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินมิได้กระทำการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นตามใจชอบ โดยไม่มีหลักเกณฑ์และการปรับค่ารายปีนั้นพนักงานประเมินก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแต่ละปีมิได้เพิ่มขึ้นครั้งเดียวให้ถึงอัตราที่อยู่ในอัตราเดียวกับบริษัทอื่น ๆ เมื่อพนักงานประเมินปรับค่ารายปีของโจทก์อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทอื่น ๆ แล้ว พนักงานประเมินก็มิได้เพิ่มค่ารายปีและจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้น ดังนั้นการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นทุกปีดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อพิรุธทำให้เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินเป็นไปโดยมิชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การประเมินภาษีโรงเรือนของจำเลยที่ให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนไม่ถูกต้อง และกำหนดอัตราค่าภาษีโรงเรือนที่โจทก์ต้องเสียภาษีใหม่ตามกฎหมายเท่ากับจำนวน พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นเงิน ๑๖,๕๒๗.๕๐ บาท และให้จำเลยคืนเงินที่เรียกเก็บจากโจทก์เกินไปตามฟ้องเป็นเงินจำนวน ๖๙,๓๕๒.๖๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้หลายประการและว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ กระทำโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน จำเลยรับว่านายผ่องและนายสมชาย เป็นกรรมการบริษัทโจทก์ และมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ โจทก์รับว่าจำเลยที่ ๓ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินในคดีนี้
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๑๘ ได้บัญญัติไว้ว่า “ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้นท่านให้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา” เห็นว่าค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้นจึงหมายความถึงค่ารายปีของปีก่อนถัดจากปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำลังประเมิน มิใช่หมายความถึงค่ารายปีของปีก่อน ๆ นั้นขึ้นไป ดังที่โจทก์อุทธรณ์มาด้วย เช่น ในการประเมินค่ารายปีของปี ๒๕๒๘ ก็ต้องนำค่ารายปีของปี ๒๕๒๗ มาเป็นหลักการคำนวณภาษีซึ่งจะต้องเสียในปี ๒๕๒๘ ทั้งนี้เพราะการที่นำค่ารายปีของปีถัดจากปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำลังประเมินมาเป็นหลักการคำนวณภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมาหรือปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำลังประเมิน จะได้ค่ารายปีของปีต่อมาใกล้เคียงหรือตามความเป็นจริง แต่กฎหมายก็มิได้มีความหมายว่าให้นำค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นค่ารายปีของปีต่อมาโดยตรงเป็นเพียงแต่นำมาเป็นหลักการคำนวนเท่านั้น เพราะค่ารายปีในปีต่อมาอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแล้วแต่พฤติการณ์และความเป็นจริง
ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อต่อมาว่า ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ ถึงปี ๒๕๒๘ เพิ่มขึ้นทุกปี จำเลยขึ้นภาษีเอาตามใจชอบแล้วแต่จะขึ้นภาษีกับผู้ใดหามีหลักเกณฑ์แต่อย่างใดไม่ เห็นว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ จำเลยมีนายสมาน มานะกุล จำเลยที่ ๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้างานรายได้เขตมีนบุรี ระหว่างวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๙ มีอำนาจหน้าที่ในการประเมินและจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินในเขตมีนบุรีและเป็นผู้ประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์มาสืบได้ความว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินในชั้นต้นจะต้องกำหนดค่ารายปี ถ้าเป็นโรงเรือนที่มีการให้เช่าจะถือค่าเช่าเป็นหลักในการคำนวณค่ารายปี ถ้าเป็นโรงเรือนที่ไม่มีการให้เช่าจะกำหนดค่ารายปีโดยเทียบเคียงจากค่าเช่าของโรงเรือนในบริเวณใกล้เคียงกันเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่ารายปี สำหรับกรณีโรงงาน ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะเป็นเจ้าของโรงงานเอง ดังนั้นในการกำหดนค่ารายปีจึงได้กำหนดค่าเช่าเฉลี่ยเป็นตารางเมตรและต้องเทียบเคียงกับโรงงานซึ่งมีสภาพและกิจการใกล้เคียงกัน รวมทั้งสถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กันอีกด้วย ในการกำหนดค่ารายปีของปี ๒๕๒๘ ของโรงงานโจทก์ได้นำค่ารายปีของปี ๒๕๒๗ มาเป็นหลักการคำนวณ นอกจากนี้เมื่อโจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๒๘ และปี ๒๕๒๙ แล้ว นายสมานจำเลยที่ ๒ ได้สั่งให้นายสุนทร ลักขณาพาชื่นกุล เจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ ๓ ไปตรวจสอบสภาพโรงงานของโจทก์ว่ามีการใช้ประโยชน์ของโรงงานอย่างใด และมีการก่อสร้างโรงงานเพิ่มเติมหรือไม่ และให้ดูโรงงานอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกันเพื่อนำมาพิจารณาเทียบกำหนดค่ารายปี และได้คำนวณค่ารายปีของโจทก์โดยใช้หลักเกณฑ์ตามหนังสือสั่งการของกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๕ เรื่อง การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประเภทที่ใช้เป็นโรงงาน (หนังสือดังกล่าวรวมไว้ในสำนวน) ซึ่งกำหนดว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประเภทที่ใช้ดำเนินกิจการโรงงานที่กำหนดค่ารายปีขั้นต่ำโดยเทียบค่าเช่าไม่ถึงตารางเมตรละ ๗ บาท ก็ให้ปรับปรุงเป็นตารางเมตรละ ๗ บาทหรือกำหนดค่ารายปีเพิ่มขึ้นอีกตามความเหมาะสม เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโรงงานโจทก์ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินได้ปฏิบัติไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และตามหนังสือสั่งการของกรุงเทพมหานคร ทั้งเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์โดยส่งนายสุนทรเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบเกี่ยวกับขนาด สภาพโรงงานของโจทก์กับโรงงานของบริษัทอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงานของโจทก์ เพื่อจะนำมาพิจารณาเทียบกัน ดังนี้จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินมิได้กระทำการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นตามใจชอบโดยไม่มีหลักเกณฑ์แต่อย่างใด ส่วนภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ที่จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บเพิ่มขึ้นทุกปีนั้น จำเลยที่ ๒ ผู้ทำการประเมินได้เบิกความยืนยันว่าก่อนปี ๒๕๒๗ พนักงานประเมินภาษีโรงเรือนได้กำหนดค่ารายปีของโรงงานโจทก์ไม่ถึงตารางเมตรละ ๗ บาท ต่อมาในปี ๒๕๒๗ จึงได้กำหนดค่ารายปีของโจทก์ที่เป็นตึกตารางเมตรละ ๗ บาท ส่วนที่เป็นเรือนไม้ตารางเมตรละ ๕ บาท และเหตุที่ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๒๘ สูงกว่าปี ๒๕๒๗ เพราะในปี ๒๕๒๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินได้กำหนดค่ารายปีของโรงงานโจทก์ที่เป็นตึกตารางเมตรละ ๙ บาท ที่เป็นเรือนไม้ตารางเมตรละ ๗ บาท ทั้งนี้ก็เพื่อให้การกำหนดค่ารายปีและการจัดเก็บภาษีโรงเรือนที่ดินเป็นอัตราเดียวกันกับโรงงานของบริษัทอื่น ๆ ที่ได้จัดเก็บในอัตราดังกล่าวมาแล้ว เห็นว่า การกำหนดค่ารายปีเพื่อจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ที่จำเลยที่ ๒ ทำการประเมินดังกล่าวได้ปฏิบัติไปตามหลักเกณฑ์ในหนังสือสั่งการของกรุงเทพมหานครซึ่งให้ถือปฏิบัติมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ ดังนั้นการที่ภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นทุกปี จะเห็นได้ว่าเป็นการปรับค่ารายปีให้เป็นไปตามหนังสือสั่งการของกรุงเทพมหานครดังกล่าวและให้อยู่ในระดับอัตราเดียวกันกับค่ารายปีของบริษัทอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับโรงงานของโจทก์ ทั้งการปรับค่ารายปีนั้นพนักงานประเมินก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแต่ละปีมิได้เพิ่มขึ้นครั้งเดียวให้ถึงอัตราที่อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทอื่น ๆ และจะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่าเมื่อพนักงานประเมินปรับค่ารายปีของโจทก์อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทอื่น ๆ แล้วในปี ๒๕๒๙ พนักงานประเมินก็มิได้เพิ่มค่ารายปีและจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นทุกปีดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อพิรุธทำให้เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินเป็นไปโดยมิชอบ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share