คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2453/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การใช้กำลังกายกอดรัดและบีบเคล้นนมของผู้เสียหายจนฟกช้ำเป็นการประทุษร้ายร่างกายที่เกลื่อนกลืนเป็นกรรมเดียวกับการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ไม่เป็นมูลความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 296อีกบทหนึ่งต่างหาก
การที่โจทก์เป็นข้าราชการผู้น้อย (ตำแหน่งหัวหน้าแผนก) อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลย (ตำแหน่งอธิบดี) ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบแบบแผนนั้น หาใช่ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 285 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า

ก. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2509 จำเลยบังอาจทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโจทก์โดยใช้กำลังยื้อยุดและปลุกปล้ำโจทก์ และผลักบานประตูโดยแรงให้ปะทะโจทก์จนล้มลงหงายหลังก้นกระแทก เป็นเหตุให้บริเวณสะโพกและอวัยวะภายในบาดเจ็บฟกซ้ำและตกโลหิตแล้วแท้งบุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาประมาณ 1 เดือนเศษ

ข. เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2512 จำเลยบังอาจทำอนาจารและทำร้ายร่างกายให้โจทก์โดยใช้กำลังกอดรัดและบีบเคล้นอวัยวะของสงวนบริเวณหน้าอกของโจทก์จนบาดเจ็บฟกซ้ำ ต้องรักษาประมาณ 7 วันจึงหาย

ค. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2512 จำเลยบังอาจทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยใช้กำลังกอดรัดและบีบเคล้นอวัยวะของสงวนบริเวณหน้าอกของโจทก์จนบาดเจ็บฟกซ้ำรักษาประมาณ 7 วันจึงหาย

ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 280, 285, 296, 297, 303, 90, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า ฟ้องของโจทก์ ข้อ ก.มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 290, 294 และ 297ส่วนฟ้องข้อ ข. และ ค. เป็นผิดฐานอนาจาร ตามมาตรา 278 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้ ตามมาตรา 281 มิใช่เป็นการทำร้ายร่างกายอันจะเป็นความผิดอีกฐานหนึ่งต่างหาก เมื่อโจทก์มิได้ร้องทุกข์และมาฟ้องเมื่อเกินกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดคดีขาดอายุความตามมาตรา 96 จึงให้ประทับฟ้องเฉพาะ ข้อ ก.

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่าจำเลยดึงอกขยี้นมโจทก์และจำเลยทำไม่แรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์เลยการกระทำของจำเลยเป็นเพียงกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และไม่เข้าลักษณะกระทำต่อผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการตามมาตรา 285 คดีขาดอายุความพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อ ข. และ ข้อ ค. และนำสืบชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2512 และวันที่ 15 ธันวาคม 2512 จำเลยเรียกโจทก์เข้าไปในห้องทำงานของจำเลยและบังอาจกระทำอนาจารและทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยใช้กำลังกายกอดรัดและบีบเคล้นอวัยวะของสงวนบริเวณหน้าอกของโจทก์จนฟกซ้ำศาลฎีกาเห็นว่าการประทุษร้ายร่างกายโจทก์ได้เกลื่อนกลืนเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกับการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 แล้ว หาได้เป็นมูลความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 296 อีกบทหนึ่งไม่ การที่โจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกชีวานามัยเป็นข้าราชการผู้น้อยอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบแบบแผนนั้น ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้หาใช่ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ไม่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 278 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้ โจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share