แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามสัญญาจ้างมีสาระสำคัญของข้อความในสัญญากำหนดให้โจทก์และจำเลยร่วมมีฐานะเป็นผู้รับจ้างอย่างเดียวกัน เพราะงานที่จะกระทำต่อไปคืองานก่อสร้างอาคารที่มิได้แบ่งแยกว่าจะทำการก่อสร้างอาคารส่วนใดอย่างไร มากน้อยแค่ไหน และค่าจ้างที่จำเลยจะชำระก็กำหนดชำระเป็นงวด มิได้กำหนดว่าจะชำระแก่โจทก์และจำเลยร่วมคนละเท่าใด คงชำระรวมกันไป แม้ในตอนแรกจะแบ่งชำระให้คนละครึ่งของแต่ละงวดก็เป็นเพียงเพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยหาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงฐานะไปไม่ โจทก์และจำเลยร่วมยังคงมีฐานะเป็นผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างและยังคงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ร่วมในหนี้ค่าจ้าง จำเลยในฐานะลูกหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าหนี้คนใดก็ได้ตามแต่จะเลือกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 เมื่อจำเลยได้ชำระค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 แก่จำเลยร่วมแล้ว การชำระหนี้จึงชอบหาเป็นการผิดสัญญาไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์และบริษัทที.อาร์. เจนเนอรัลเซอร์วิส จำกัด ก่อสร้างอาคาร กำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันส่งมอบสถานที่ก่อสร้าง ตกลงจ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ 20 ของค่าจ้าง ส่วนที่เหลือแบ่งจ่ายเป็น6 งวด โดยจำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์และบริษัทที.อาร์. เจนเนอรัลเซอร์วิส จำกัด ฝ่ายละครึ่งของค่าจ้างแต่ละงวด ต่อมาจำเลยจ่ายเงินล่วงหน้า ค่าจ้าง งวดที่ 1 ถึงที่ 3 ให้แก่โจทก์และบริษัทที.อาร์. เจนเนอรัลเซอร์วิส จำกัด ฝ่ายละครึ่งแต่ค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 จำนวน 1,500,000 บาท และ 1,800,000 บาท จำเลยจ่ายให้แก่บริษัทที.อาร์.เจนเนอรัลเซอร์วิส จำกัด ทั้งหมดเพียงฝ่ายเดียว อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,660,968.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,650,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ละทิ้งงาน บริษัทที.อาร์. เจนเนอรัลเซอร์วิส จำกัด ดำเนินการก่อสร้างเพียงฝ่ายเดียว จำเลยจึงจ่ายค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 ให้แก่บริษัทที.อาร์.เจนเนอรัลเซอร์วิส จำกัด จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทที.อาร์. เจนเนอรัลเซอร์วิสจำกัด เข้าร่วมเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์และจำเลยร่วมกันก่อสร้างอาคารต่อมาจำเลยได้จ่ายเงินล่วงหน้าและค่าจ้างงวดที่ 1 ถึงที่ 3 ให้แก่โจทก์และจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่ง ต่อมาโจทก์ได้ทิ้งงาน จำเลยจึงจ่ายค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 ให้แก่จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างเพียงฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยผิดสัญญาเพราะไม่ชำระค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 แก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ในการชำระค่าจ้างนั้น จำเลยจะแยกชำระแก่โจทก์และจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่งของค่าจ้างแต่ละงวด โจทก์และจำเลยร่วมไม่มีความประสงค์ที่จะให้หนี้ค่าจ้างมีลักษณะเป็นหนี้ร่วม โจทก์และจำเลยร่วมมิใช่เจ้าหนี้ร่วม ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะชำระค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 แก่จำเลยร่วมเพียงฝ่ายเดียว แต่จะต้องชำระแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งของค่าจ้างแต่ละงวดนั้น เห็นว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 มีสาระสำคัญว่าสัญญาจ้างฉบับนี้ทำขึ้นระหว่างจำเลยซึ่งต่อไปในสัญญาเรียกว่า “ผู้ว่าจ้าง” ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยร่วมและโจทก์ซึ่งสองบริษัทต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้รับจ้าง” อีกฝ่ายหนึ่ง ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างผู้รับจ้างทำการก่อสร้างอาคารเป็นเงินทั้งสิ้น 10,700,000 บาท ผู้ว่าจ้างจะชำระเงินล่วงหน้าร้อยละ20 แก่ผู้รับจ้างเมื่อลงนามในสัญญาฉบับนี้ ส่วนค่าจ้างที่เหลือผู้ว่าจ้างแบ่งชำระเป็นงวดรวม 6 งวด ดังนี้จะเห็นได้ว่าข้อความในสัญญากำหนดให้โจทก์และจำเลยร่วมมีฐานะเป็นอย่างเดียวกันคือ “ผู้รับจ้าง” เพราะงานที่จะกระทำต่อไปคืองานก่อสร้างอาคารที่มิได้แบ่งแยกว่าจะทำการก่อสร้างอาคารส่วนใดอย่างไร มากน้อยแค่ไหน และค่าจ้างที่จำเลยจะชำระก็กำหนดชำระเป็นงวด มิได้กำหนดว่าจะชำระแก่โจทก์และจำเลยร่วมคนละเท่าใดอีกด้วย คงชำระรวมกันไป แม้ในตอนแรกจะแบ่งชำระให้คนละครึ่งของแต่ละงวดก็ตาม ก็เป็นเพียงเพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยร่วมเท่านั้นหาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงฐานะไปไม่ โจทก์และจำเลยร่วมยังคงมีฐานะเป็นผู้รับจ้างอยู่ดังเดิมตามสัญญาจ้างและยังคงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ร่วมในหนี้ค่าจ้างจำเลยในฐานะลูกหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าหนี้คนใดก็ได้ตามแต่จะเลือกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 ดังนั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยได้ชำระค่าจ้างงวดที่ 4 และที่ 5 แก่จำเลยร่วมเช่นนี้แล้ว การชำระหนี้จึงชอบแล้วหาเป็นการผิดสัญญาไม่ และเมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยได้ชำระหนี้ถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วเช่นนี้ ปัญหาเรื่องอื่นก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน