แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เกิดเหตุละเมิดวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2540 ช. ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ให้มีอำนาจเจรจาตกลงค่าเสียหาย ได้ทำบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายว่า ช. ตกลงกับผู้เสียหายทุกคน แล้วรับข้อเสนอของผู้เสียหายแต่ละคนเพื่อนำไปเสนอจำเลยที่ 2 พิจารณา ประกอบกับตามบันทึกเกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหาย ช. ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่า จำเลยที่ 2 จะชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บตามหลักฐานหรือใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริงสำหรับผู้ตายให้ศพละ 50,000 บาท ความเสียหายต่อทรัพย์สินให้ประเมินตามความเป็นจริง ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(1) แล้ว จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทราบจากพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 2ปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2540 นายมานิตย์ ชูทรัพย์ ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10 – 0062 นครสวรรค์ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสองจากสถานีขนส่งจังหวัดกำแพงเพชร มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร โดยมีโจทก์โดยสารมาด้วย และด้วยความประมาทเลินเล่อของนายมานิตย์เป็นเหตุให้รถคันดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 ศ – 9526 กรุงเทพมหานคร และรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 8273 กำแพงเพชร เป็นเหตุให้นายมานิตย์ถึงแก่ความตายและโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสกระดูกต้นแขนขวาหักต้องผ่าตัดใส่แผ่นดามกระดูกใช้เวลารักษาประมาณ 4 ถึง 6 เดือน และได้รับความเสียหายเป็นเงิน 161,300 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 161,300 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะเหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นระยะเวลาเกิน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2542 ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เป็นการส่วนตัวเพราะจำเลยที่ 1 กระทำในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเกิดเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนกันเพราะความประมาทเลินเล่อของนายมานิตย์ ชูทรัพย์ ลูกจ้างจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 หลังเกิดเหตุจำเลยทั้งสองส่งนายชัยวัฒน์ วงศ์ธนะบูรณ์ เป็นผู้รับมอบอำนาจไปเจรจาค่าเสียหายกับผู้เสียหายทั้งหมดรวมทั้งโจทก์และได้ทำบันทึกการเจรจาไว้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ตามบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหาย คดี จร.ที่ 11/2540 เอกสารหมาย จ.1 ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 นายชัยวัฒน์ได้ทำบันทึกไม่ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามบันทึกเกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหาย เอกสารหมาย จ.2 โจทก์ทราบว่าจำเลยทั้งสองไม่ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจากพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2540 และคู่ความขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ หากไม่ขาดอายุความให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำฟ้องและคำให้การศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เสียหายเพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เกิดเหตุวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2540 นายชัยวัฒน์ วงศ์ธนะบูรณ์ ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ให้มีอำนาจเจรจาตกลงค่าเสียหายกับผู้เสียหายทุกคน ได้ทำบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายคดี จร. ที่ 11/2540เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งบันทึกดังกล่าวข้อ 3.18 ระบุว่า นายชัยวัฒน์ ตกลงกับผู้เสียหายทุกคน แล้วรับข้อเสนอของผู้เสียหายแต่ละคนที่ได้เรียกร้องค่าเสียหายตามจำนวนที่ระบุในข้อ 3.1 ถึง 3.17 เพื่อนำไปเสนอจำเลยที่ 2 พิจารณาจำนวนเงินที่ผู้เสียหายแต่ละคนเรียกร้องอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเงินที่ผู้เสียหายแต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนมากอีกทั้งจะได้ตรวจสอบจากหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดความเสียหายที่จะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามความเหมาะสมต่อไป ประกอบกับตามบันทึกเกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.2 นายชัยวัฒน์ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่า จำเลยที่ 2 จะรับผิดชอบค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บตามหลักฐานหรือใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริงเท่านั้น สำหรับผู้ตายให้ศพละ 50,000 บาท ความเสียหายต่อทรัพย์สินให้ประเมินความเสียหายตามความเป็นจริงจากบันทึกทั้งสองฉบับมีความหมายว่า นายชัยวัฒน์ได้ตกลงยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายทุกคนตามที่ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 แล้วเพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดจำนวนเงินแน่นอนที่จะจ่ายให้แก่ผู้เสียหายแต่ละคนเท่านั้น เพราะนายชัยวัฒน์ประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้พิจารณาจำนวนค่าเสียหายเอง ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(1) แล้ว จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540ซึ่งเป็นวันทำบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหาย คดี จร.ที่ 11/2540 เอกสารหมาย จ.1จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทราบจากพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 2ปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เนื่องจากคู่กรณีฝ่ายที่ได้รับความเสียหายเรียกร้องมีจำนวนเงินสูงกว่าความเป็นจริงตามบันทึกเกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมายจ.2 เมื่อนับแต่วันทราบดังกล่าวถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นส่วนปัญหาว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6ยังไม่ได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยก่อน และศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำฟ้องคำให้การเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่คู่ความตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26กรกฎาคม 2542 แล้ว เห็นว่า โจทก์ได้รับบาดเจ็บต้นแขนขวาหักและฟันแตกร้าวสองซี่สภาพของบาดแผลดังกล่าวระหว่างรักษาแม้ยังไม่หายเป็นปกติโจทก์ก็สามารถไปทำงานได้ก่อน 6 เดือน ทั้งในระยะแรกที่เกิดอุบัติเหตุโจทก์ไม่สามารถไปทำงานได้จึงหาจำต้องเสียค่าจ้างรถแท็กซี่ไปทำงานในช่วงดังกล่าวไม่ เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับจำนวน 70,000 บาท และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 70,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 31 มีนาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จและให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยให้ใช้ค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 6,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ให้เป็นพับ