คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 554/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ธนาคารโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ให้ร่วมกันใช้หนี้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การขาดนัดพิจารณาและมิได้อุทธรณ์ฎีกานั้น เมื่อมูลกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้ของลูกหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้ และศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียดอกเบี้ยทบต้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาก็ย่อมให้คำพิพากษาที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยทบต้นมีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และมาตรา 247
จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์โดยมีข้อตกลงว่าหากจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงิน และเงินมีไม่พอจ่าย ก็ให้ธนาคารโจทก์ถือจ่ายไปตามคำสั่ง เป็นเงินเท่าใดให้ถือว่ายอดเงินที่จ่ายเกินนั้นเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โดยจำเลยยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนดังนั้น ระหว่างระยะเวลาที่จำเลยเบิกเงินเกินบัญชี จนถึงวันที่ธนาคารโจทก์ทวงถามและถือว่าจำเลยผิดนัดนั้น ดอกเบี้ยทบต้นที่ธนาคารโจทก์คิดเอากับจำเลยตามข้อตกลงจึงกลายเป็นต้นเงิน ฉะนั้น ในกรณีที่ธนาคารโจทก์ฟ้องเรียกเงินดอกเบี้ยจากจำเลยก่อนผิดนัดจึงเป็นเรื่องฟ้องเรียกต้นเงิน ไม่ใช่เรียกดอกเบี้ยค้างส่ง (ต้องใช้อายุความตามมาตรา 164 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หาใช่ตามมาตรา 166 ไม่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนควบกิจการธนาคารเกษตรจำกัด และธนาคารมณฑล จำกัด เข้าด้วยกันใช้ชื่อใหม่ว่า “ธนาคารกรุงไทยจำกัด” เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๒ จำเลยทั้งสามได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารมณฑล จำกัด เป็นเงิน ๘๕,๐๐๐ บาท ในนามยี่ห้อในบัญชีว่ายี่ห้อ”หน่ำทง” โดยมีข้อตกลงว่า ในการสั่งจ่ายเงิน จำเลยสองคนร่วมกันลงชื่อและประทับตราจึงจะสมบูรณ์ ในกรณีจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินและเงินมีไม่พอจ่ายเมื่อธนาคารถือจ่ายไปตามคำสั่งเป็นเงินเท่าใด ให้ถือว่ายอดเงินที่จ่ายเกินนั้นเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคารพาณิชย์เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้ธนาคาร ๔๖,๕๐๐ บาท๐๘ สตางค์ หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ติดต่อกับธนาคารอีก และเมื่อคิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๐๙ จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่รวม ๑๒๗,๓๖๒ บาท๐๖ สตางค์ ได้ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยร่วมกันใช้จำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยทบต้นนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยไม่เคยเปิดบัญชีเงินฝากในนาม “ยี่ห้อหน่ำทง”และไม่เคยใช้ชื่ออื่นนอกจากชื่อ “นายคุน คุนผลิน” ชื่อเดียวจำเลยปฏิเสธเรื่องเกี่ยวกับการเบิกเงินเกินบัญชีทั้งหมด และต่อสู้ว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่เคยทวงถาม ฟ้องขาดอายุความและเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ขาดอายุความ และโจทก์ไม่จำต้องทวงถามก่อนฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายคุน คุนผลิน จำเลยที่ ๓ใช้ชื่อว่า “เซี๊ยะคุน” ร่วมกับจำเลยที่ ๑, ๒ เปิดบัญชีเดินสะพัดในนามยี่ห้อ”หน่ำทง” กับธนาคารมณฑล จำกัด และเป็นลูกหนี้ธนาคารจริง พิพากษาให้จำเลยทั้ง ๓ ร่วมกันใช้เงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่า นายคุน คุนผลิน จำเลยที่ ๓ คือนายเซี๊ยะคุนพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเชื่อว่า จำเลยที่ ๓ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑, ๒เปิดบัญชีในนามยี่ห้อ “หน่ำทง” กับธนาคารมณฑล จำกัด จำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารทั้งต้นและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ เป็นเงิน๑๐๔,๓๔๘ บาท ๓๗ สตางค์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายใน ๗ วันจำเลยไม่ยอมชำระ ฉะนั้นถือได้ว่า ได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตั้งแต่วันครบกำหนดเวลาบอกกล่าวนั้นแล้ว ธนาคารจึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้อีกหลังจากนั้น ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียดอกเบี้ยทบต้นจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงให้คำพิพากษานี้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕(๑) และ ๒๔๗ในประเด็นที่จำเลยที่ ๓ ต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความในเรื่องดอกเบี้ยค้างส่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ดอกเบี้ยตามบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์และจำเลยจากวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๒ ถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ ได้กลายเป็นต้นเงินโดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคารจนถึงวันที่โจทก์ทวงถามและถือว่าผิดนัด ฉะนั้น กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินดอกเบี้ยจากจำเลยก่อนผิดนัดจึงเป็นเรื่องฟ้องเรียกต้นเงินไม่ใช่เรียกดอกเบี้ยค้างส่ง ฟ้องโจทก์ในกรณีนี้จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยทั้ง ๓ ร่วมกันรับผิด ในจำนวนเงิน๑๐๔,๓๔๘ บาท ๓๗ สตางค์ กับดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๐๗ อันเป็นวันผิดนัด ส่วนดอกเบี้ยต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยธรรมดาในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จ

Share