คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุที่โจทก์จำเลยทะเลาะกันและอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกันนั้น มิได้มีสาเหตุมาจากว่าโจทก์และจำเลยไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยาโดยปกติทั่วไปได้แต่เป็นเพราะโจทก์โกรธจำเลยเพราะเข้าใจว่าจำเลยร่วมมือกับมารดาโจทก์ฉ้อโกงเอาบ้านและที่นาของโจทก์ไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนหน้าเกิดเหตุโจทก์และจำเลยแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่ ต่างทำมาหากิน จึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยสมัครใจอยู่กินในลักษณะดังกล่าว ฉะนั้น การที่จำเลยพาบุตรคนโตไปกรุงเทพมหานครเพื่อค้าขายเสื้อผ้าจึงเป็นเพียงการแยกตัวไปทำมาหากินเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์หรือกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4)(6)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสมีบุตรผู้เยาว์ 2 คน เมื่อปี 2537 ขณะโจทก์จำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 947/1 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาทราย อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร โจทก์และจำเลยทะเลาะกันเกี่ยวกับจำเลยลอบนำสินส่วนตัวของโจทก์ไปจำหน่ายจ่ายโอนให้บุคคลภายนอก โจทก์จึงขอแยกกันอยู่กับจำเลยโดยยังพักอยู่บ้านเดียวกันเพราะเห็นแก่บุตรทั้งสอง ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2540 จำเลยหนีออกจากบ้านโดยไม่ติดต่อกลับมาหาโจทก์ ไม่ส่งเสียให้การอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นการไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์และกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงถึงขนาดต้องได้รับความเดือดร้อน เมื่อเอาสภาพและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบทั้งเป็นการทิ้งร้างโจทก์เกินกว่า 1 ปี จำเลยไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง จึงไม่สมควรใช้อำนาจปกครองบุตรขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้ถอนอำนาจปกครองบุตรทั้งสองของจำเลย

จำเลยให้การว่า จำเลยโต้แย้งกับโจทก์เพราะจำเลยไม่ยอมช่วยโจทก์จัดการโอนที่ดินที่ตั้งร้านค้าที่โจทก์โอนให้บุตรทั้งสองของโจทก์จำเลยกลับมาเป็นของโจทก์อีก จำเลยได้กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจำนวน 100,000 บาทเพื่อให้โจทก์ทำทุนค้าขาย แต่โจทก์หาทางขจัดจำเลยโดยส่งจำเลยไปค้าขายที่อื่น จำเลยต้องประกอบอาชีพตามความประสงค์ของโจทก์โดยนำบุตรคนโตไปอยู่ด้วย ทำให้โจทก์ไม่พอใจทำร้ายบุตรคนโต จำเลยจึงต้องอุปการะเลี้ยงดูเสียเอง นอกจากนี้จำเลยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรของคนที่สองตลอดมา ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลย โดยให้โจทก์ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย มีบุตร 2 คน คือ นายไพฑูรย์ ศรีรุณ อายุ 18 ปี และเด็กชายคณิต ศรีรุณ อายุ 15 ปี พักอาศัยรวมกันที่บ้านเลขที่ 947/1หมู่ที่ 1 ตำบลเขาทราย อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2540 จำเลยนำนายไพฑูรย์ออกจากบ้านดังกล่าวไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพมหานครจนถึงปัจจุบัน คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี และไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้หรือไม่ ในข้อที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์หรือไม่นั้นพยานโจทก์มีตัวโจทก์และเด็กชายคณิตเบิกความทำนองเดียวกันว่าตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นไปโจทก์กับจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันมาตลอดทั้งนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์เข้าใจว่าจำเลยร่วมมือกับนางจำลอง ดาราวงศ์หรือแปรสนม มารดาโจทก์ปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับบ้านเลขที่ 947และที่นา 5 แปลงของโจทก์แล้วโอนขายไปโดยจำเลยลงชื่อเป็นพยานในหลักฐานดังกล่าว โจทก์กับจำเลยแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็ต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกัน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จำเลยก็ไม่เคยช่วยเหลือโดยต่างคนต่างทำมาหากินซึ่งเป็นเช่นนี้จนถึงเดือนมีนาคม 2540จำเลยก็ออกจากบ้านไปโดยนำนายไพฑูรย์บุตรคนโตไปด้วยบอกว่าจะไปอยู่กรุงเทพมหานคร แต่ตัวโจทก์กลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ปัญหาที่โจทก์ขอหย่ากับจำเลยครั้งนี้ เนื่องจากจำเลยไปร่วมมือกับมารดาโจทก์ในการโอนที่ดินของโจทก์และจำเลยไม่ให้ความกระจ่างแก่โจทก์ ก่อนจำเลยจะไปกรุงเทพมหานคร จำเลยก็ค้าขายอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าวตามปกติ หลังจากจำเลยออกจากบ้านในปี 2540 แล้วก็กลับมาอีก 2 ครั้ง และเด็กชายคณิตเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าปัจจุบันจำเลยไปค้าขายเสื้อผ้าที่กรุงเทพมหานครและพี่ชายของพยานได้ช่วยขายด้วย พยานยังรักใคร่และผูกพันกับจำเลยเช่นเดิม ตามคำพยานโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าการที่โจทก์กับจำเลยทะเลาะกันและอยู่ด้วยกันที่บ้านเดียวกันโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกันนั้น มิได้มีสาเหตุมาจากว่าโจทก์และจำเลยไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยาโดยปกติทั่วไปได้แต่เป็นเพราะโจทก์โกรธเคืองจำเลยเพราะเข้าใจว่าจำเลยร่วมมือกับนางจำลองมารดาโจทก์ฉ้อโกงเอาบ้านและที่นาของโจทก์ไป ได้ความว่าขณะที่จำเลยยังอยู่ที่บ้านเลขที่ 947/1 ร่วมกับโจทก์และบุตรทั้งสองคนจำเลยก็ค้าขายอยู่ที่บ้านดังกล่าว เพียงแต่ต่างคนต่างอยู่เท่านั้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยสมัครใจที่อยู่กินในลักษณะเช่นนี้ ดังนั้น การที่จำเลยพาบุตรคนโตไปอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อค้าขายเสื้อผ้าจึงเป็นเพียงการแยกตัวไปเพื่อทำมาหากินเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปหรือกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4)(6)…”

พิพากษายืน

Share