คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เงินส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายเป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาหรือจ่ายไปในกรณีที่โจทก์รับประกันภัยต่อหรือเอาประกันภัยต่อ ถ้าโจทก์รับประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยไว้แล้ว ได้ไปเอาประกันภัยต่อบริษัทอื่นอีก เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยมาแล้วก็ต้องจ่ายให้บริษัทที่รับประกันภัยต่อ บริษัทที่รับประกันภัยต่อก็จะจ่ายเงินส่วนหนึ่งตอบแทนให้โจทก์ เรียกว่าส่วนลดรับ ในกรณีกลับกันเมื่อบริษัทอื่นรับประกันภัยไว้แล้ว ได้เอาประกันภัยต่อกับโจทก์เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยแล้วโจทก์ก็จะจ่ายเงินตอบแทนให้แก่บริษัทนั้น ซึ่งเป็นเงินส่วนลดจ่าย ทั้งสองกรณีเห็นได้ชัดว่าเป็นเงินตอบแทนในเมื่อมีประกันภัยต่อ มิใช่เบี้ยประกันภัยที่จะนำไปคำนวณลดหรือเพิ่มจากเบี้ยประกันภัยของโจทก์ในการกำหนดเงินสำรอง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(1)(ข)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมและเสียเงินเพิ่ม ในรอบระยะเวลาบัญชี 2516 รวม 432,356.29 บาท และปี 2517 รวม 244,746.46 บาทตามแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1104/2/00117 และที่ 1104/2/00118 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2520 โดยอ้างว่า โจทก์เอาส่วนลดเบี้ยประกันอัคคีภัยและภัยทางทะเลซึ่งโจทก์ลดให้กับบริษัทซึ่งรับประกันภัยต่อ เข้าเป็นเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ได้รับและถือเอาส่วนลดที่โจทก์ได้รับจากบริษัทในต่างประเทศและบริษัทในประเทศ เนื่องจากการเอาประกันอัคคีภัยและภัยทางทะเลต่อมาเป็นเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ได้รับ เป็นผลให้ยอดเงินสำรองเบี้ยประกันภัยร้อยละ 40 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตี(1) สูงกว่าจำนวนที่เจ้าพนักงานประเมินคำนวณได้ ซึ่งการคิดคำนวณของโจทก์ดังกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชอบตามที่เจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งดังกล่าวข้างต้นโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 431/2528 และ 432/2528 ลงวันที่ 12กรกฎาคม 2528 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเลขที่ 1104/2/00117 และเลขที่ 1104/2/00118 ลงวันที่13 มิถุนายน 2520 ของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 431/2528 และเลขที่ 432/2528 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2528ที่สั่งให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติมและเงินเพิ่มรวม 677,102.75 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า การรับประกันภัยต่อจากบริษัทอื่นนั้นโจทก์มีรายจ่ายเรียกว่า “ส่วนลดจ่าย” ส่วนการเอาประกันภัยต่อให้บริษัทอื่น โจทก์มีรายได้จากบริษัทซึ่งรับประกันภัยต่อเรียกว่า “ส่วนลดรับ” เกี่ยวกับเงินสำรองจากเบี้ยประกันภัยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (1)(ข) ซึ่งให้ถือเป็นรายจ่ายเฉพาะส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 40 ของจำนวนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีหลังจากหักเบี้ยประกันภัยซึ่งเอาประกันภัยต่อออกแล้วนั้น จะนำส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายมารวมคำนวณไม่ได้ แต่เรื่องนี้โจทก์ได้นำส่วนลดรับหักด้วยส่วนลดจ่าย เหลือจำนวนเท่าใดนำมารวมเบี้ยประกันภัยที่ได้รับสุทธิ โดยโจทก์ถือว่าส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยประกัน ทำให้เงินสำรองเบี้ยประกันที่โจทก์คำนวณสูงเกินไป การที่เจ้าพนักงานประเมินคำนวณเงินสำรองใหม่โดยไม่นำส่วนลดรับเฉพาะส่วนลดจ่ายมาคำนวณด้วย แล้วมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มเติมตามแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1104/2/00117 และที่ 1101/2/00118ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2520 รวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ส่วนลดจ่าย คือจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายไปในกรณีที่บริษัทอื่นเป็นผู้รับประกันภัยแล้วนำมาประกันภัยต่อกับโจทก์ซึ่งโจทก์จะได้รับเงินเบี้ยประกันภัย และจ่ายส่วนลดให้แก่บริษัทนั้น ส่วนลดรับคือเงินที่โจทก์ได้รับในกรณีที่โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยไว้แล้วนำไปเอาประกันภัยต่อกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งโจทก์จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทนั้นและได้รับส่วนลดจากบริษัทที่รับประกันภัยต่อ ทั้งส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายโจทก์ลงรายการในบัญชีส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายต่างหากจากบัญชีเบี้ยประกันภัย และถือเป็นรายรับรายจ่ายของโจทก์ใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิในบัญชีงบกำไรขาดทุนของโจทก์ด้วยทั้งได้นำส่วนลดรับมาหักจากเบี้ยประกันภัยต่อที่โจทก์จ่ายไป ทำให้เบี้ยประกันภัยต่อที่โจทก์จ่ายลดน้อยลง และนำส่วนลดจ่ายมาหักออกจากเบี้ยประกันภัยต่อที่โจทก์รับมา ทำให้เบี้ยประกันภัยต่อที่รับมามีจำนวนลดลง สำหรับตัวเลขในการคำนวณตามฟ้องเป็นตัวเลขที่ถูกต้องแล้วคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายว่าส่วนลดจ่ายและส่วนลดรับในการรับประกันภัยต่อกับการเอาประกันภัยต่อจะนำมาคำนวณลดและเพิ่มจากเบี้ยประกันภัยของโจทก์ก่อนนำมาคำนวณเงินสำรองตามกฎหมายได้หรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าเงินส่วนลดจ่ายและส่วนลดรับ ในการที่โจทก์รับประกันภัยต่อและเอาประกันภัยต่อ นำมาคำนวณลดและเพิ่มจากเบี้ยประกันภัยของโจทก์ก่อนนำมาคำนวณเงินสำรองได้หรือไม่ เห็นว่าเงินจำนวนนี้มิใช่เป็นเงินเบี้ยประกันภัยโดยตรงที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้รับจากผู้เอาประกันภัย แต่เป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาหรือจ่ายไปในกรณีที่โจทก์เอาหรือรับประกันภัยต่อ ถ้าโจทก์รับประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยไว้แล้วได้เอาประกันภัยต่อกับบริษัทอื่นอีกเมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยมาแล้วก็ต้องจ่ายให้บริษัทที่รับประกันภัยต่อ บริษัทที่รับประกันภัยต่อก็จะจ่ายเงินส่วนหนึ่งตอบแทนให้โจทก์ ซึ่งเป็นเงินส่วนลดรับในกรณีกลับกัน เมื่อบริษัทอื่นรับประกันภัยไว้แล้ว โจทก์ก็จะจ่ายเงินตอบแทนให้แก่บริษัทนั้น ซึ่งเป็นเงินส่วนลดจ่าย ทั้งสองกรณีนี้เห็นได้ชัดว่าเงินส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายเป็นเงินตอบแทนในเมื่อมีประกันภัยต่อถึงแม้จะถือว่าเอามาจากเบี้ยประกันภัยแต่กลับเอามาจ่ายให้แก่กันเป็นเงินตอบแทน จึงไม่เป็นเบี้ยประกันภัยอย่างที่โจทก์ฎีกาการที่โจทก์นำเงินส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายเป็นรายรับรายจ่ายเพื่อคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ก็เป็นวิธีการเพื่อจะได้ทราบถึงเงินสุทธิของโจทก์ในการคำนวณภาษีไม่ทำให้เงินส่วนลดรับและส่วนลดจ่ายกลับเป็นเบี้ยประกันภัยที่จะนำไปคำนวณลดหรือเพิ่มจากเบี้ยประกันภัยของโจทก์ในการกำหนดเงินสำรองตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี (1)(ข)”
พิพากษายืน

Share