แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เมื่อพิจารณาเนื้อหาของคำร้องทั้งสองฉบับประกอบกันแล้ว เห็นว่า เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอสวมสิทธิโจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้รายเดียวกันเพื่อผู้ร้องจะได้บังคับคดีต่อ จึงมีประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีแทนโจทก์หรือไม่เช่นเดียวกันทั้งสองฉบับ หาใช่ประเด็นแห่งคดีของคำร้องทั้งสองฉบับแตกต่างกันดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเรื่องการขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในการขอบังคับคดีต่อผู้ร้องแล้ว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในเรื่องเดียวกันอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 3,164,695.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงิน 2,807,490.68 บาท นับตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 ว่า ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์และสิทธิเรียกร้องอื่น ๆ ของโจทก์ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ ซึ่งได้รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องอื่น ๆ ของโจทก์นำออกประมูลขายตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ ผู้ร้องจึงได้รับโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ต่อจำเลยตามคำพิพากษา รวมทั้งหลักประกันและการค้ำประกันที่ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 305 และมาตรา 306 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีและมีสิทธิเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษา ผู้ร้องบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองทราบแล้ว ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ เป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ เป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีอีกครั้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ ตามคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เป็นคู่ความชั้นบังคับคดีฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 และคำร้องฉบับนี้ เมื่อพิจารณาเนื้อหาของคำร้องทั้งสองฉบับประกอบกันแล้ว เห็นว่า เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอสวมสิทธิโจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้รายเดียวกันเพื่อผู้ร้องจะได้บังคับคดีต่อ จึงมีประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีแทนโจทก์หรือไม่เช่นเดียวกันทั้งสองฉบับหาใช่ประเด็นแห่งคดีของคำร้องทั้งสองฉบับแตกต่างกันดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเรื่องการขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในการขอบังคับคดีต่อของผู้ร้องแล้ว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2548 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในเรื่องเดียวกันอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ