คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9691/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิเรียกร้องของคู่พิพาทฝ่ายชนะคดีที่จะได้รับชำระหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจากคู่พิพาทฝ่ายแพ้คดีเป็นสิทธิเรียกร้องที่จะพึงโอนกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 303 วรรคหนึ่ง การที่บริษัท บ. คู่พิพาทฝ่ายชนะคดีทำหนังสือ ขอโอนสิทธิการรับชำระหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องตกลงชำระค่าตอบแทนการรับโอนสิทธิการรับชำระหนี้ดังกล่าวนั้น เป็นสัญญาการโอนหนี้อันผู้คัดค้านจะพึงต้องชำระแก่บริษัท บ. โดยเฉพาะเจาะจง เมื่อมีการแจ้งโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นหนังสือให้แก่ผู้คัดค้านทราบแล้ว จึงถือว่าบริษัท บ. และผู้ร้องได้ปฏิบัติตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 306 บัญญัติแล้ว สิทธิเรียกร้องตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงตกเป็นของผู้ร้อง ที่ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 41 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “…คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ว่าจะได้ทำขึ้นในประเทศใดให้ผูกพันคู่พิพาท และเมื่อได้มีการร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจย่อมบังคับได้ตามคำชี้ขาดนั้น” และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อคู่พิพาทฝ่ายใดประสงค์จะให้มีการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการให้คู่พิพาทฝ่ายนั้นยื่นคำร้องต่อศาล…” นั้น คำว่า “คู่พิพาท” ตามบทมาตราดังกล่าวไม่จำกัดเฉพาะคู่สัญญาในสัญญาอนุญาโตตุลาการเท่านั้นแต่หมายรวมถึงผู้ที่สืบสิทธิตามสัญญาทั้งโดยผลของกฎหมายและโดยผลของสัญญาด้วย

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอน โดยให้บริษัทยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ จำกัด ชำระเงิน 11,374,796.77 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.1 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จ คิดถึงวันยื่นคำร้องเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 6,491,113.48 ดอลลาร์สหรัฐพร้อมกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของอนุญาโตตุลาการอีก 60,697 ปอนด์สเตอร์ลิง และ99,411.21 ดอลลาร์สหรัฐ คำนวณเป็นเงินไทย ณ วันยื่นคำร้องเป็นเงิน 717,766,432.41 บาท
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดวันนัดไต่สวนและส่งสำเนาคำร้องของผู้ร้องให้บริษัทยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ จำกัด ทราบโดยชอบแล้ว แต่บริษัทยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ จำกัด มิได้ยื่นคำคัดค้าน
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิพากษายกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ แต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีมีความเห็นแย้ง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 10 และ 11 ตุลาคม 2539 ผู้คัดค้านทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่เรียกว่า SWAP กับบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศอังกฤษ 2 ครั้ง ครั้งแรกกำหนดจำนวนเงินเพื่อใช้ในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนไว้ 650,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2539 กำหนดชำระคืนวันที่ 15 ตุลาคม 2540 ครั้งที่สองกำหนดจำนวนเงินเพื่อใช้ในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนไว้ 200,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 กำหนดชำระคืนวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 ตามสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าพร้อมคำแปล และหนังสือยืนยันธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าพร้อมคำแปล ครั้นครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ผู้คัดค้านไม่ชำระหนี้ บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่ลแนล จำกัด (มหาชน) ทวงถามแล้วก็ไม่ชำระ วันที่ 1 ตุลาคม 2544 บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จึงนำข้อพิพาทเสนอต่ออนุญาโตตุลาการของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอน ประเทศอังกฤษ ผู้คัดค้านได้ยื่นคำคัดค้านและเข้าต่อสู้คดี อนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2546 ตามคำชี้ขาดพร้อมคำแปล โดยฟังข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และผู้คัดค้านทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสัญญาหลักที่เรียกว่า MASTER AGREEMENT โดยเป็นแบบสัญญามาตรฐานของ International Swaps & Derivatives Association, Inc. (ISDA) ที่มีข้อสัญญารวม 14 ข้อ และต้องมีการทำสัญญาย่อยที่เรียกว่าหนังสือยืนยันธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าตามมาตามตารางแนบท้ายของสัญญาหลักดังกล่าวระบุไว้ในข้อตกลง ส่วนที่ 5 ข้อ (อี) ว่า บรรดาข้อพิพาทจะต้องมีการชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอน ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2539 ได้มีการทำหนังสือยืนยันธุรกรรมรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกกำหนดจำนวนเงินเพื่อใช้ในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนไว้ 650,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2539 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 15 ตุลาคม 2540 ตามหนังสือยืนยันธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เลขที่ ที เค เอส ดับบลิว 028888/เอ เอช ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2539 กำหนดจำนวนเงินเพื่อใช้ในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนไว้ 200,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 ตามหนังสือยืนยันธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เลขที่ ที เค เอส ดับบลิว 029164/เอ เอฟ คู่สัญญารับรองว่าจะชำระเงินบาทให้กันเป็นรายเดือนทุกเดือนจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุด โดยบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จะชำระเงินบาทให้แก่ผู้คัดค้าน คิดจากจำนวนที่กำหนดไว้เพื่อใช้ในการคำนวณของแต่ละสัญญา คือ 650,000,000 บาท และ 200,000,000 บาทตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยจากยอดเงินดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสุดของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ส่วนผู้คัดค้านก็จะชำระเงินบาทให้แก่บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) คิดจากจำนวนเงินดอลลาร์สหรัฐ เยน และ มาร์กเยอรมัน ซึ่งเป็นสกุลเงินในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงินซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น ในสัดส่วน 85 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ และ 5 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ที่เทียบเท่ากับ 650,000,000 บาท และ 200,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยร้อยละเอ็มแอลอาร์ ลบ 3.90 และลบ 4.19 ตามลำดับ โดยจะคิดครั้งสุดท้ายในวันสิ้นสุดของสัญญา คือ วันที่ 15 ตุลาคม 2540 และ 17 พฤศจิกายน 2540 ตามลำดับ แล้วหักกลบลบหนี้กันการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คัดค้านต่อเมื่อค่าเงินบาทมีเสถียรภาพหรือแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เยน และมาร์กเยอรมัน โดยผู้คัดค้านจะได้รับเงินส่วนต่างจากบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เมื่อสิ้นเดือนนั้น ๆ แต่ทางตรงกันข้ามหากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เยน และ มาร์กเยอรมัน ผู้คัดค้านจะเสียประโยชน์และต้องจ่ายเงินส่วนต่างในส่วนที่เสียประโยชน์แก่บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เมื่อสิ้นเดือนนั้น ๆ ส่วนบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จะไม่เสียประโยชน์ใด ๆ จากการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากได้ทำธุรกรรมประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นลงไว้อีกต่อหนึ่งด้วยแล้ว ในระยะแรกหลังจากมีการทำสัญญาค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ผู้คัดค้านจึงได้ประโยชน์โดยในการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาแรก บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้คัดค้าน ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รายเดือน รวม 9 เดือน ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 เป็นเงิน 18,395,754.15 บาท ในการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาที่สองบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้คัดค้านที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รายเดือนรวม 9 เดือน ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 เป็นเงิน 5,376,289.86 บาท เนื่องจากในขณะเริ่มทำสัญญากันจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 นั้น เงินบาทมีเสถียรภาพ ผู้คัดค้านจึงได้รับประโยชน์จากสัญญา แต่ครั้นเมื่อรัฐบาลไทยได้ประกาศยกเลิกระบบการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเดิม ไปเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินแบบลอยตัว ทำให้ในช่วงที่สัญญาสิ้นสุดลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ที่เคยอยู่ที่ 25.5 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ กลับอ่อนค่าไปอยู่ที่ 35 ถึง 40 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อคิดคำนวณในแต่ละเดือนนับจากมีการลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวแล้ว ผู้คัดค้านต้องเสียประโยชน์เป็นเงินจำนวนมากทุกเดือน เมื่อคิดถึงวันสิ้นสุดสัญญาทั้งสองสัญญาแล้ว ผู้คัดค้านมีหนี้ต้องชำระให้แก่บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวนมาก โดยการทำธุรกรรมครั้งที่ 1 มียอดหนี้ที่ผู้คัดค้านต้องชำระ 258,068,914.50 บาท คำนวณเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐตามที่ตกลงกันได้เป็นเงิน 8,408,192.46 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการทำธุรกรรมครั้งที่ 2 มียอดหนี้ที่ผู้คัดค้านต้องชำระ 91,817,545.32 บาท คำนวณเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐตามที่ตกลงกันได้เป็นเงิน 2,966,604.31 ดอลลาร์สหรัฐ จากข้อเท็จจริงดังกล่าว อนุญาโตตุลาการจึงมีคำชี้ขาดว่า “(1) ให้ผู้คัดค้าน (บริษัทยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ จำกัด) จ่ายเงินให้แก่ผู้ร้อง (บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)) 8,408,192.46 ดอลลาร์สหรัฐ ตามการทำธุรกรรมครั้งที่ 1 (2) ให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้อง 2,966,604.31 ดอลลาร์สหรัฐ ตามการทำธุรกรรมครั้งที่ 2 (3) ให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยในจำนวนที่มีการชี้ขาดตามข้อ (1) และ (2)ของคำชี้ขาดในอัตราร้อยละ 13.1 นับตั้งแต่วันที่ชำระเงิน (ที่มีการคำนวณตามที่มีการคิดดอกเบี้ยรายวัน และจำนวนวันที่ผ่านไป) (4) ให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการให้ผู้ร้อง 60,697 ปอนด์สเตอร์ลิง และ 99,411.21 ดอลลาร์สหรัฐ(5) ยกเลิกการเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมใด ๆ” และได้ส่งสำเนาคำชี้ขาดถึงบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กับผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2546 ต่อมา วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โอนสิทธิเรียกร้องในเงินตามคำชี้ขาดดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง และได้ทำหนังสือแจ้งเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ผู้คัดค้านทราบแล้ว แต่ผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 12 บัญญัติว่า “ความสมบูรณ์แห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการและการตั้งอนุญาโตตุลาการย่อมไม่เสียไป แม้ในภายหลังคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายหรือสิ้นสุดสภาพความเป็นนิติบุคคล ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ” บทบัญญัติดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการเปลี่ยนตัวคู่สัญญาไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังกล่าว ก็ไม่ทำให้การตั้งอนุญาโตตุลาการเสียไป และมาตรา 13 บัญญัติว่า “เมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือความรับผิดใด สัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีอยู่เกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องหรือความรับผิดนั้นย่อมผูกพันผู้รับโอนด้วย” อันแสดงให้เห็นด้วยว่า แม้จะมีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ไปโดยผลของการโอนสิทธิเรียกร้องในสัญญาหลัก ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องและคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องผูกพันตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ กรณีที่อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดออกมาแล้ว หากคู่พิพาทฝ่ายที่มีหน้าที่ตามคำชี้ขาดยอมปฏิบัติตาม ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นย่อมระงับไปโดยสมบูรณ์ แต่หากคู่พิพาทนั้นไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาด คู่พิพาทฝ่ายชนะคดีตามคำชี้ขาดก็มีสิทธิร้องขอให้ศาลดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำชี้ขาด สิทธิเรียกร้องของคู่พิพาทฝ่ายชนะคดีที่จะได้รับชำระหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจากคู่พิพาทฝ่ายแพ้คดีเป็นสิทธิเรียกร้องที่จะพึงโอนกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303 วรรคหนึ่ง การที่บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) คู่พิพาทฝ่ายชนะคดีทำหนังสือซึ่งระบุว่าเป็นสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องขอโอนสิทธิการรับชำระหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องตกลงชำระค่าตอบแทนการรับโอนสิทธิการรับชำระหนี้ดังกล่าวนั้น เป็นสัญญาการโอนหนี้อันผู้คัดค้านจะพึงต้องชำระแก่บริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะเจาะจง และมีการแจ้งโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือให้แก่ผู้คัดค้านทราบแล้ว จึงถือว่าบริษัทแบงเกอร์ ทรัสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และผู้ร้องได้ปฏิบัติตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 บัญญัติแล้ว สิทธิเรียกร้องตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงตกเป็นของผู้ร้อง ที่พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 บัญญัติไว้ในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง ว่า “…คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ว่าจะได้ทำขึ้นในประเทศใดให้ผูกพันคู่พิพาท และเมื่อได้มีการร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจย่อมบังคับได้ตามคำชี้ขาดนั้น” และบัญญัติไว้ในมาตรา 42 วรรคหนึ่ง ว่า “เมื่อคู่พิพาทฝ่ายใดประสงค์จะให้มีการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการให้คู่พิพาทฝ่ายนั้นยื่นคำร้องต่อศาล…” คำว่า “คู่พิพาท” ตามบทมาตราดังกล่าว ไม่จำกัดเฉพาะคู่สัญญาในสัญญาอนุญาโตตุลาการเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่สืบสิทธิตามสัญญาทั้งโดยผลของกฎหมายและโดยผลของสัญญาด้วย ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าคู่พิพาทมีความหมายถึงเฉพาะคู่พิพาทกันมาก่อนในชั้นอนุญาโตตุลาการ และพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องด้วยเหตุว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
อนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ให้ผู้ร้องเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและปอนด์สเตอร์ลิง โดยมิได้มีคำขอบังคับให้ชำระเป็นเงินไทยด้วย การที่ผู้ร้องบรรยายคำร้องขอเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยในวันยื่นคำร้องขอก็เพื่อประโยชน์ในการคิดค่าขึ้นศาลเท่านั้น ในกรณีนี้ย่อมเป็นสิทธิของผู้คัดค้านที่จะชำระหนี้เป็นเงินไทยก็ได้ โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่ใช้เงินและเวลาที่ใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 กรณีไม่จำต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไว้ในคำพิพากษา
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอน เลขที่ 1324 ให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนผู้ร้องโดยกำหนดค่าทนายความ 80,000 บาท

Share