คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957-958/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีแพ่งและคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้าง เป็นคดีนี้ว่าจำเลยเบิกความเท็จ มีประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่า การที่โจทก์นำตู้และสิ่งของไปวางไว้บนทางเดินพิพาทเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยหรือไม่ และมีความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ ไม่มีประเด็นว่าโจทก์เช่าห้องของจำเลยหรือไม่ ทั้งในคดีดังกล่าวโจทก์ก็ให้การและนำสืบรับว่าโจทก์เช่าห้องของจำเลยจริง เพียงแต่อ้างว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดเท่านั้น สัญญาเช่าจะได้ลงลายมือชื่อโจทก์ไว้หรือไม่ ไม่เป็นเหตุให้การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทในคดีดังกล่าวมีผลแตกต่างออกไปแต่ประการใด ดังนั้นข้อความที่โจทก์อ้างจำเลยเบิกความเท็จจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีทั้งสอง จำเลยไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๙๕/๒๕๒๒ ของศาลแพ่ง ด้วยข้อความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีมีใจความว่า โจทก์เช่าตึกแถวของจำเลยโดยมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือและโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าคู่ฉบับที่โจทก์ยึดถือไว้ แต่ความจริงโจทก์ไม่เคยเช่าตึกแถวของจำเลยเป็นหนังสือ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๗๗๖/๒๕๒๒ ของศาลอาญา ด้วยข้อความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีมีใจความว่า หนังสือสัญญาเช่าฉบับที่นายตุ่นถือได้โอนให้โจทก์ถือ โดยแก้ชื่อผู้เช่าจากนายตุ่นเป็นโจทก์เช่า และโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เช่า แต่ความจริงไม่เคยมีการแก้ชื่อผู้เช่าจากนายตุ่นมาเป็นโจทก์ และโจทก์ไม่เคยลงลายมือชื่อในช่องผู้เช่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่า โจทก์เช่าตึกแถวของจำเลยซึ่งมีประตูด้านหน้าอยู่ทางทิศเหนือ และมีประตูด้านข้างอยู่ทางทิศตะวันออก มีทางเดินส่วนบุคคลเชื่อมจากถนนเพชรเกษมเข้าสู่ที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ ๑.๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๓๐ เมตร โดยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๖๑๒ ของจำเลย และเป็นที่ดินคนละโฉนดกับที่ดินปลูกตึกแถวที่โจทก์เช่า โจทก์ได้ซ่อมแซมทางเดินนี้ให้ดีขึ้นและได้นำตู้กับสิ่งของมาวางบนทางเดินดังกล่าวเป็นประจำ จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์นำสิ่งของออกไปโจทก์ก็ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยจึงฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งขอศาลบังคับโจทก์ให้นำตู้และสิ่งของออกไป ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๙๕/๒๕๒๒ และฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาในข้อหาว่าบุกรุกทางเดินดังกล่าว ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๗๗๖/๒๕๒๒ ในคดีแพ่งศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเพียงแต่ใช้ประโยชน์บนทางเดินพิพาทได้ตามสมควรเท่าที่จำเป็นเท่านั้น การที่โจทก์นำตู้มาวางเป็นการละเมิดต่อจำเลย พิพากษาให้นำตู้และสิ่งของออกไปให้พ้นเขตทางเดินพิพาท สำหรับคดีอาญาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีเจตนาบุกรุกซึ่งในชั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ในคดีทั้งสอง จำเลยได้เบิกความถึงสัญญาเช่าฉบับที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์มีใจความว่า สัญญาเช่าได้ทำกันไว้เป็นหนังสือโดยขีดฆ่าลายมือชื่อนายตุ่นผู้เช่าเดิมออกแล้วโจทก์ลงลายมือชื่อไว้แทน แต่ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวได้มีการขีดฆ่าชื่อนายตุ่นออกโดยจำเลยลงลายมือชื่อกำกับไว้ สำหรับโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อ จึงเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าเบิกความเท็จเป็นคดีทั้งสองนั้น แล้ววินิจฉัยว่า ในคดีแพ่งและคดีอาญาดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่า การที่โจทก์นำตู้และสิ่งของไปวางไว้บนทางเดินพิพาทเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยหรือไม่ และมีความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ไม่มีประเด็นว่าโจทก์เช่าห้องเลขที่ ๑๑๑ ของจำเลยหรือไม่ ทั้งโจทก์ก็ให้การรับอยู่แล้วว่าโจทก์เช่าห้องเลขที่ ๑๑๑ ของจำเลยจริง เพียงแต่อ้างว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษเท่านั้น สัญญาเช่าจะได้ลงลายมือชื่อโจทก์ไว้หรือไม่ ไม่เป็นเหตุให้การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทในคดีดังกล่าวมีผลแตกต่างกันออกไป ข้อความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเบิกความเท็จ จึงมิใช่ข้อสำคัญในคดีทั้งสองนั้น จำเลยไม่มีความผิดดังฟ้องโจทก์
พิพากษายืน

Share