คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 9 ปี ไม่ปรากฏว่าเป็นเด็กเร่ร่อนหรือสำส่อนทางเพศ หรือถูกผู้อื่นข่มขืนกระทำชำเรามาก่อนและแม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่จำเลยสอดเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายเป็นอวัยวะเพศหรือนิ้วมือของจำเลยแต่จำเลยสอดใส่เข้าไปในตัวผู้เสียหายและใส่เข้าใส่ออกก็ตามกรณีเป็นเรื่องที่เด็กไร้เดียงสา อาจไม่ทราบชัดว่าเป็นอวัยวะเพศหรือไม่ก็ได้และหลังเกิดเหตุแล้วเมื่อน้าสาวของผู้เสียหายถามผู้เสียหายถึงรายละเอียดที่จำเลยกระทำ ผู้เสียหายก็บอกว่าสิ่งที่จำเลยสอดใส่เข้าในอวัยวะเพศผู้เสียหายนั้นใหญ่กว่านิ้วมือทั้งแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายก็เบิกความว่า ตรวจช่องคลอดผู้เสียหายแล้วน่าเชื่อว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมเพศมาแล้วเนื่องจากช่องคลอดขยายตัวยืดหย่อน เมื่อพิจารณาประกอบกันแล้วพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิงกาญจนา อายุยังไม่เกินสิบสามปี (9 ปี) ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลย โดยเด็กหญิงกาญจนามิได้ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคสอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์มีเด็กหญิงกาญจนาผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ในวันที่11 ธันวาคม 2533 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ผู้เสียหายนอนในกระท่อมไม่มีเลขที่ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุพร้อมนางธินารัตน์มารดา น้องชายน้องคนเล็กที่เพิ่งคลอดและจำเลย ห้องนอนดังกล่าวไม่มีฝากั้นระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยมีน้องชายผู้เสียหายนอนคั่นอยู่ แต่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่เห็นน้องชายนอนอยู่ จำเลยใช้มือดึงเอวผู้เสียหายแล้วดึงมือผู้เสียหายให้จับอวัยวะเพศของจำเลย จำเลยใช้มือจิ้มที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายจากนั้นจำเลยถอดกางเกงของจำเลยถอดกางเกงนอนและกางเกงในของผู้เสียหายออก แล้วจำเลยขึ้นคร่อมผู้เสียหายรู้สึกเจ็บอวัยวะเพศรู้สึกว่าจำเลยใช้ของสอดใส่เข้าในตัวผู้เสียหายไม่ทราบว่าเป็นอวัยวะเพศหรือนิ้วมือ จำเลยขยับตัวขึ้นลงใส่เข้าใส่ออกอยู่เป็นเวลานาน ประมาณไม่ถูกว่ากี่นาทีผู้เสียหายร้องเรียกนางธินารัตน์ 4 ครั้ง ครั้งที่ 4 นางธินารัตน์ลุกขึ้นจุดตะเกียง จำเลยลุกจากตัวผู้เสียหายใส่กางเกง ผู้เสียหายก็ใส่กางเกง ขณะนั้นจำเลยขู่ว่าไม่ให้บอกใครมิฉะนั้นจะฆ่าให้ตายจำเลยกลับไปนอนที่เดิม นางธินารัตน์ถามว่าเรียกทำไมแต่ผู้เสียหายไม่กล้าบอก จากนั้นผู้เสียหายบอกให้นางธินารัตน์พาไปปัสสาวะข้างล่าง ปัสสาวะ เสร็จแล้วก็กลับขึ้นนอนที่เดิมรุ่งขึ้นผู้เสียหายให้นางธินารัตน์พาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านนางสมเพียรและนางพยอมซึ่งเป็นยายและน้าของผู้เสียหาย ต่อมานางสมเพียรเห็นว่าผู้เสียหายเกาอวัยวะเพศบ่อยจึงนำไปให้แพทย์ตรวจ ขณะแพทย์ตรวจผู้เสียหายได้แจ้งว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรามาหลังจากนั้นก็ได้บอกให้นางพยอมทราบ วันรุ่งขึ้นนางสมเพียรได้พาผู้เสียหายไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากได้ความตามคำผู้เสียหายดังกล่าวแล้ว โจทก์มีนางสมเพียรและนางพยอมเป็นพยานเบิกความสนับสนุนได้ความว่า ครั้งสุดท้ายที่ผู้เสียหายกลับมาจากบ้านจำเลยนั้น ผู้เสียหายคันเกาอวัยวะเพศบ่อยผู้เสียหายบอกให้พาไปหาแพทย์โดยบอกว่ากลัวจะเป็นโรค เมื่อกลับจากให้นายแพทย์กัมประนาทตรวจแล้วผู้เสียหายแจ้งให้นางพยอมทราบว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา นางสมเพียรจึงพาผู้เสียหายไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนนายแพทย์กัมประนาทพยานโจทก์ผู้ตรวจช่องคลอดผู้เสียหายก็เบิกความว่า ขณะตรวจช่องคลอดผู้เสียหายผู้เสียหายบอกว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรามา และตรวจช่องคลอดไม่พบบาดแผลแต่มีลักษณะตกขาว เมื่อส่งตกขาวไปตรวจก็พบว่ามีการติดเชื้อในช่องคลอดและพบว่าช่องคลอด ขยายตัวมากกว่าเด็กในวันเดียวกันจึงน่าเชื่อว่าผ่านการร่วมเพศมาแล้ว ปรากฏตามบันทึกการตรวจบาดแผล เอกสารหมาย จ.1 ได้ความดังกล่าว เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุอะไรกับจำเลยมาก่อน ข้อสงสัยว่าพยานโจทก์จะปรักปรำจำเลยจึงไม่มี โดยเฉพาะผู้เสียหายอายุเพียง 9 ปี ไม่ปรากฏว่าเป็นเด็กเร่ร่อนหรือสำส่อนทางเพศหรือถูกผู้อื่นข่มขืนกระทำชำเรามาก่อน และแม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่จำเลยสอดเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายเป็นอวัยวะเพศหรือนิ้วมือของจำเลย แต่จำเลยสอดใส่เข้าในตัวผู้เสียหายและใส่เข้าใส่ออก เห็นว่าเป็นเรื่องที่เด็กไร้เดียงสาอาจไม่ทราบชัดว่าเป็นอวัยวะเพศหรือไม่ก็ได้ และหลังเกิดเหตุแล้วเมื่อนางพยอมถามถึงรายละเอียดที่จำเลยกระทำผู้เสียหายก็บอกว่าสิ่งที่จำเลยสอดใส่เข้าอวัยวะเพศผู้เสียหายนั้นใหญ่กว่านิ้วมือประกอบกับตามคำนายแพทย์กัมประนาทผู้ตรวจช่องคลอดผู้เสียหายแล้วน่าเชื่อว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมเพศมาแล้ว เนื่องจากช่องคลอดขยายตัวยืดหย่อน ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบดังกล่าวคดีจึงฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำผิดจริงดังฟ้อง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดในคืนวันที่ 2 ธันวาคม 2533 ตอนดึกจำเลยร่วมเพศกับนางธินารัตน์มารดาผู้เสียหาย ผู้เสียหายเห็นจึงร้องเรียก นางธินารัตน์ จำเลยอับอายไม่ร่วมเพศกับนางธินารัตน์ต่อไปและวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายก็ไปอยู่กับนางสมเพียรจนจำเลยถูกแจ้งความกล่าวหาคดีนี้ โดยจำเลยมีนางธินารัตน์เป็นพยานเบิกความสนับสนุน เห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย กล่าวคือ ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า วันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาจำเลยใช้นิ้วมือซ้ายเข้าอวัยวะเพศของผู้เสียหายรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ตามคำให้การดังกล่าว แม้จำเลยนำสืบในชั้นพิจารณาของศาลว่าร้อยตำรวจตรีกตัญญู มากสาขา พนักงานสอบสวนให้จำเลยลงลายมือชื่อโดยไม่ได้อ่านให้ฟังและร้อยตำรวจตรีกตัญญูมีเรื่องไม่ถูกกัยจำเลยนั้น พิจารณาคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.5 แล้ว ปรากฏว่าร้อยตำรวจตรีกตัญญูบันทึกไว้ชัดว่าได้อ่านให้จำเลยฟังและจำเลยอ่านเองแล้วรับรองว่าถูกต้อง ทั้งจำเลยลงลายมือชื่อรับรองในเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าวไว้แล้ว อนึ่งจำเลยจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.5 โดยไม่ได้อ่าน และข้อที่จำเลยอ้างว่าร้อยตำรวจตรีกตัญญูไม่ถูกกับจำเลยความข้อนี้จำเลยก็มิได้ถามค้านร้อยตำรวจตรีกตัญญูขณะร้อยตำรวจตรีกตัญญูเบิกความต่อศาลไว้แต่อย่างใด จึงไม่น่าเชื่อว่าร้อยตำรวจตรีกตัญญูเคยมีเรื่องไม่ถูกกับจำเลยดังที่อ้าง เชื่อว่า ร้อยตำรวจตรีกตัญญูได้สอบสวนบันทึกคำให้การจำเลยและให้จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.5อย่างถูกต้องตรงตามที่จำเลยให้การไว้ ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 20 นาฬิกา นางธินารัตน์มารดาผู้เสียหายที่นอนอยู่ห้องเดียวกันยังไม่หลับเพราะยังหัวค่ำ จำเลยไม่อาจข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายได้นั้น เห็นว่า นางธินารัตน์จะหลับเมื่อใดนั้นเป็นเรื่องไม่แน่นอนตายตัวเพราะนางธินารัตน์ เพิ่งคลอดบุตร 2 เดือนเศษอาจจะเหนื่อยจากการเลี้ยงดูบุตรจึงหลับตั้งแต่หัวค่ำก็เป็นได้และที่ผู้เสียหายเบิกความว่าเหตุเกิดเวลา 20 นาฬิกา ก่อนถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลับแล้ว ความจริงตอนถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราอาจเป็นเวลาดึกซึ่งนางธินารัตน์กำลังหลับก็เป็นได้การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นเด็กประมาณเวลาดังกล่าวอาจคลาดเคลื่อนไปบ้างเท่านั้น ไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาอีกว่า กางเกงผู้เสียหายรูดอยู่แค่หัวเข่า จำเลยจึงไม่อาจข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายได้นั้น ข้อนี้เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความตอบศาลไว้แล้วว่า ในช่วงที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเรากางเกงรูดไว้ที่ขาและจำเลยได้ถ่างขาผู้เสียหายออกด้วยแต่ถ่างได้ไม่มาก คืนนั้นน้องชายผู้เสียหายยังเล็กไม่ทำผู้เสียหายแน่ ทั้งผู้เสียหายจำเสียงพูดของจำเลยได้ สำหรับปัญหาเรื่องวันเวลาเกิดเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า พยานโจทก์แตกต่างกัน โจทก์ไม่สามารถนำสืบถึงวันเวลาเกิดเหตุให้กระจ่างชัด เป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าเหตุเกิดเมื่อใดแน่และจะมีการกระทำตามฟ้องเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น ในข้อนี้เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความว่า เหตุเกิดคืนวันที่11 ธันวาคม 2533 เวลา 20 นาฬิกา และปรากฏว่าร้อยตำรวจตรีกตัญญูได้รับแจ้งความวันที่ 15 ธันวาคม 2533 วันเดียวกันนั้นก็สามารถจับกุมจำเลยได้ มีการทำบันทึกการจับกุมไว้ตามเอกสารหมาย จ.3ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตร ซึ่งอยู่ด้านหลังเอกสารหมาย จ.1 ร้อยตำรวจตรีกตัญญูไปตรวจที่เกิดเหตุทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.6, จ.7 เอกสารทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าวล้วนระบุว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ตรงกันนอกจากนี้จำเลยให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.5 ได้ความว่าคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 ผู้เสียหายนอนที่กระท่อมของจำเลยที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ 22 นาฬิกา จำเลยใช้มือล้วงเข้าไปในกางเกงผู้เสียหายและใช้นิ้วดันเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย พยานหลักฐานดังกล่าวแสดงถึงวันเวลาเกิดเหตุต้องตรงกัน สำหรับพยานโจทก์ปากนางพยอมนั้นเบิกความตอบคำถามของโจทก์ว่า ผู้เสียหายเล่ารายละเอียดเหตุการณ์คดีนี้ให้พยานฟังเมื่อวันที่ 14 เดือนใดจำไม่ได้ แต่เป็นช่วงปลายปี 2533 ผู้เสียหายบอกว่าเหตุเกิดก่อนหน้านั้น 2-3 วันซึ่งก็สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายส่วนที่นางพยอมเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานกำหนดแต่งงานวันที่ 27 ธันวาคม2533 ในวันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2533 ตอนเช้าพยานพาผู้เสียหายไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปงานแต่งงานของพยาน แล้วพาผู้เสียหายกลับไปนอนที่บ้านนางสมเพียรในคืนนั้น แม้มีเหตุน่าเชื่อว่าพยานจะจำกำหนดวันแต่งงานของตนได้ แต่การที่พยานพาผู้เสียหายไปซื้อเสื้อผ้าก่อนพยานแต่งงานหลายวันเป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดา ไม่มีเหตุที่จะทำให้พยานจดจำวันที่ได้แม่นยำจนเบิกความได้ละเอียดชัดเจนดังกล่าว ตรงกันข้ามกับตอนที่พยานตอบคำถามของโจทก์ที่พยานจำไม่ได้ว่าผู้เสียหายเล่าเหตุการณ์ให้พยานฟังเดือนใด เป็นคำเบิกความที่ผิดปกติไม่สมเหตุสมผล ประกอบกับการถามค้านทนายจำเลยมีสิทธิถามนำย่อมมีโอกาสที่พยานจะเบิกความตอบคำถามค้านดังกล่าวโดยผิดพลาดสับสนไปได้ คำเบิกความของพยานในส่วนนี้จึงไม่อาจรับฟังเป็นข้อขัดแย้งทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นซึ่งมีน้ำหนักมั่นคงอยู่แล้วได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 ซึ่งแม้เวลาเกิดเหตุตามที่ปรากฏในการพิจารณาดังกล่าวจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องซึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงอยู่บ้างก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใด ทั้งจำเลยนำสืบสู้คดีเพียงว่า วันที่ 2 ธันวาคม 2533ผู้เสียหายไปนอนค้างที่กระท่อมของจำเลย คืนนั้นผู้เสียหายตื่นขึ้นเห็นจำเลยร่วมเพศกับนางธินารัตน์ เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านนางสมเพียรแล้วไม่มาที่กระท่อมของจำเลยอีกเลยข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบกล่าวอ้างถึงเวลาก่อนวันเวลาเกิดเหตุหลายวันไม่เกี่ยวข้องกับวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องที่ต่างไปจากวันเวลาเกิดเหตุที่ได้ความในการพิจารณาแต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาดังกล่าวแล้วได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share