คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ปฏิเสธว่าโจทก์และสามีโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยตามใบรับเงินที่จำเลยอ้าง จำเลยจะอ้างใบรับเงินที่ทำนอกศาลมาเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 417/2504) ส่วนการที่จำเลยอ้าวว่าได้ชำระเงินให้สามีโจทก์ หากเป็นจริง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาเงินคืนจากสามีโจทก์อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์และสามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่าปลอมหรือใช้ใบรับเงินปลอม และศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งมีความหมายว่า ใบรับเงินไม่ปลอม ถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลย ต้องรับฟังยันโจทก์ในการบังคับคดีได้นั้น ปรากฎว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาญาเพียงแต่วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์อยู่ในฐานสงสัย ฟังไม่ถนัดว่าจำเลยปลอมใบรับเงิน ยังลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้เท่านั้น มิได้วินิจฉัยเลยไปว่าจำเลยชำระเงินให้สามีโจทก์หรือไม่ ฉะนั้นจึงรับฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าจำเลยชำระเงินให้สามีโจทก์แล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวกับสามีโจทก์ต่อไป

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้จำนองและดอกเบี้ย ได้ประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมใช้เงิน ๑๖๑,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยภายใน ๓ เดือน ครบกำหนด จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้ศาลบังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องว่าได้มอบเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ให้นายทองคำสามีโจทก์เพื่อชำระหนี้ สามีโจทก์ได้ทำใบรับไว้ให้ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ นายทองคำ วรรณยิ่ง ปฏิเสธว่าไม่เคยได้รับเงินตามใบรับ จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ฟ้องโจทก์และสามีโจทก์ฐานฉ้อโกง ให้คืนเงินที่จำเลยชำระให้แก่จำเลย ตามคดีอาญาดำที่ ๖๙๕/๒๐๕๓ ขอให้งดการบังคับดคีไว้ก่อน ศาลชั้นต้นสั่งงดการขายทอดตลาดจนกว่าคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์จะถึงที่สุด ต่อมาวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๐๘ จำเลยยื่นคำร้องว่า คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์และสามีโจทก์ ศาลฎีกาว่าใบรับเงินที่จำเลยอ้างไม่เป็นเอกสารปลอม จึงต้องฟังว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดและอายัดทรัพย์สินของจำเลย
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ปฏิเสธว่าโจทก์และนายทองคำ วรรณยิ่ง สามีโจทก์ไม่ได้ชำระหนี้จากจำเลยตามใบรับเงินที่จำเลยอ้างแล้ว จำเลยจะอ้างใบรับเงินทีทำกันนอกศาลมาเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๗/๒๕๐๔ การที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นายทองคำ วรรณยิ่ง หากเป็นความจริง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาเงินคืนจากนายทองคำ วรรณยิ่ง อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์และนายทองคำ วรรณยิ่ง ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่าปลอมหรือใช้ใบรับเงินปลอมตามคดีอาญาแดงที่ ๑๗๙๙/๒๕๐๖ ของศาลจังหวัดสมุทรปราการและศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งมีความหมายว่าใบรับเงินนั้นไม่ปลอม ถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยครบถ้วน ต้องรับฟังยันโจทก์ในการบังคับคดีนนี้ได้นั้นศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ในคดีอาญาแดงที่ ๑๗๙๙/๒๕๐๖ ที่จำเลยอ้าง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจะฟังว่าเป็นใบรับเงินปลอมยังไม่ถนัด เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิดโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความแน่ชัดปราศจากข้อสงสัย ศาลจึงจะลงโทษจำเลยได้ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาญาเพียงแต่วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์อยู่ในฐานสงสัย ฟังไม่ถนัดว่าจำเลยปลอมใบรับเงิน ยังลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้เท่านั้น มิได้วินิจฉัยเลยว่าจำเลยได้ชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ให้นายทองคำ วรรณยิ่ง สามีโจทก์หรือไม่ ฉะนั้น จึงยังรับฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ให้นายทองคำ วรรณยิ่ง สามีโจทก์แล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวกับนายทองคำ วรรณยิ่ง ต่อไป
พิพากษายืน

Share