คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4100/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่2ยื่นอุทธรณ์โดยมิได้เสียค่าขึ้นศาลและมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางพร้อมอุทธรณ์ด้วยแต่ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินออกไป7วันซึ่งศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตดังนี้จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับอุทธรณ์ของจำเลยที่2ในวันยื่นอุทธรณ์นั้น จำเลยที่2มิได้ชำระค่าขึ้นศาลและมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้หลังจากนั้นเดือนเศษศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่2ชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายใน3วันหากไม่ชำระในกำหนดจะสั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อครบกำหนด3วันไปแล้วจำเลยที่2นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลกับชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับไว้เนื่องจากพ้นกำหนดเวลาเพียงวันเดียวดังนี้เมื่อจำเลยที่2มิได้นำเงินดังกล่าวมาชำระและวางภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ในครั้งแรกแม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาให้อีกแต่ก็มิได้สั่งก่อนสิ้นระยะเวลาอนุญาตให้ขยายไว้เดิมและไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งขยายระยะเวลาดังกล่าวไว้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23และไม่ใช่กรณีที่ศาลกำหนดเวลาเองโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะการที่ศาลชั้นต้นยังสั่งรับไว้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ยื่นอุทธรณ์โดยวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229 การยื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่2จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน332,745 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน329,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 329,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า การอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์วันที่ 15 เมษายน 2537 พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์กับค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ออกไป 7 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้ตามขอและมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในวันนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้วางเงินดังกล่าวและมิได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอีกแต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ 8 มิถุนายน 2537 โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์และยื่นคำแถลงว่า ที่จำเลยขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์กับค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ภายใน 7 วัน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้นั้นเวลาได้ล่วงเลยมาเดือนเศษแล้ว เป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำแถลงของโจทก์ว่าหมายนัดทนายจำเลยที่ 2 ให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายใน 3 วัน หากไม่ชำระในกำหนดจะสั่งไม่รับอุทธรณ์ ทนายจำเลยที่ 2รับหมายนัดวันที่ 19 มิถุนายน 2537 ต่อมาวันที่ 23 เดือนเดียวกันโจทก์ยื่นคำแถลงว่า พ้นกำหนด 3 วัน นับแต่วันที่รับหมายแล้ว แต่จำเลยที่ 2 เพิกเฉยไม่ยอมวางเงิน ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งต่อไปปรากฏว่าในวันดังกล่าวมีการวางเงินค่าธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2จะต้องใช้แทนโจทก์กับค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งในคำแถลงของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 วางเงินค่าธรรมเนียมมาแล้ว ในวันนี้เห็นควรให้รับไว้ เนื่องจากพ้นกำหนดเวลาที่ศาลสั่งเพียงวันเดียว เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2537 โดยมิได้เสียค่าขึ้นศาล และมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาวางพร้อมอุทธรณ์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229และจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินดังกล่าวออกไป 7 วัน ซึ่งศาลชั้นต้นก็สั่งอนุญาตแล้วจึงยังไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในวันยื่นอุทธรณ์นั้นและต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ก็มิได้นำเงินดังกล่าวมาวางภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตขยายให้ แม้ต่อมาภายหลังศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาให้อีกแต่ก็มิได้สั่งก่อนสิ้นระยะเวลาที่อนุญาตให้ขยายไว้เดิม และไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งขยายระยะเวลาดังกล่าวอีกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 และไม่ใช่กรณีที่ศาลกำหนดเวลาเองโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เพิ่งวางเงินดังกล่าวเมื่อวันที่23 มิถุนายน 2537 ซึ่งล่วงเลยกำหนดระยะเวลาการวางเงินตามที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาให้ในครั้งแรกดังกล่าวแล้วแม้ศาลชั้นต้นยังสั่งรับไว้ ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์โดยได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 หรือภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตขยายให้โดยชอบ การยื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share