คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6022/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ทางพิจารณาคู่ความตกลงกันว่า ขอสืบ ส.เป็นพยานร่วมเพียงปากเดียว หาก ส.เบิกความเป็นอย่างไรก็ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามนั้นและหาก ส.เบิกความไม่สมฝ่ายใด ก็ถือว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานให้ศาลพิพากษาไปตามประเด็นแห่งคดี เมื่อคำเบิกความของ ส.สอดคล้องเจือสมกับคำฟ้องของโจทก์ที่ว่าโจทก์มีส่วนในการซื้อที่ดินคืนไม่ใช่จำเลยซื้อเพียงคนเดียว จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามที่ตกลงกันในรายงานกระบวนพิจารณา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4628 ตั้งอยู่บ้านหนองใหญ่ หมู่ที่ 6 ตำบลพระลับ (ตำบลในเมือง) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โจทก์นำที่ดินดังกล่าวไปขายฝากให้นายสันติคุณสันติพงษ์ ในราคา 13,000 บาท เมื่อ พ.ศ. 2515 โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยพฤตินัยและในปีเดียวกันนี้ โจทก์จำเลยร่วมกันซื้อที่ดินจากนายสันติ คุณสันติพงษ์ ในราคา 16,000 บาท โดยโจทก์ออกเงิน 12,000 บาท จำเลยออกเงิน 4,000 บาท แต่จำเลยต้องการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในนามจำเลยคนเดียว โดยจำเลยอ้างว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้จะลงชื่อจำเลยเพียงคนเดียวก็ถือว่าเป็นที่ดินของโจทก์จำเลยร่วมกัน และยังอ้างว่าจำเลยมีอาชีพเป็นนายประกันจำเลยหรือผู้ต้องหาต่อศาล หากมีชื่อจำเลยในโฉนดเพียงคนเดียวก็จะเป็นการสะดวกจนถึงพ.ศ. 2524 โจทก์จำเลยจึงเลิกจากการเป็นสามีภรรยากัน โจทก์จึงขอให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 4 ส่วน ให้โจทก์ได้รับ 3 ส่วน ให้จำเลยได้รับ 1 ส่วน หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากแบ่งไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาจำนวน 101,250 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยอยู่กินร่วมกับโจทก์ เพราะจำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว จำเลยไม่เคยร่วมกับโจทก์ซื้อที่ดินพิพาท แต่จำเลยซื้อจากนายสันติ คุณสันติพงษ์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2515 ในราคา 13,000 บาท จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โจทก์จำเลยเคยรักกันจนเป็นเหตุให้จำเลยซื้อที่ดินพิพาท ปัจจุบันที่ดินราคาแพงโจทก์จะขอแบ่งซื้อจากจำเลย จำเลยไม่ขาย โจทก์จึงฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาท โฉนดที่4628 ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นออกเป็น 4 ส่วนให้โจทก์ได้รับ 3 ส่วน ให้จำเลยได้รับ 1 ส่วน หากจำเลยไม่ยอมแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถแบ่งแยกได้ ให้จำเลยใช้ราคาที่ดิน 101,250 บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาคู่ความตกลงกันว่า ขอสืบนายสันติ คุณสันติพงษ์ เป็นพยานร่วมเพียงปากเดียว หากนายสันติเบิกความเป็นอย่างไรก็ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามนั้น และหากนายสันติเบิกความไม่สมฝ่ายใด ก็ถือว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ให้ศาลพิพากษาไปตามประเด็นแห่งคดี… ตามคำเบิกความของนายสันติที่ว่าเมื่อพ้นกำหนดไถ่แล้ว โจทก์ยังคงชำระดอกเบี้ยตลอดมา โจทก์บอกว่าจะพยายามไถ่ที่ดินคืนให้ได้ ต่อมาโจทก์สามารถหาเงินมาไถ่ได้ จึงขอซื้อที่ดินคืนจากนายสันติในวันจดทะเบียนไถ่คืน โจทก์จำเลยไปด้วยกัน ทั้งคู่ปรึกษากันว่าจะให้จดทะเบียนในชื่อของผู้ใด เห็นว่าคำเบิกความของนายสันติมีข้อความบ่งชี้ชัดว่า โจทก์มีส่วนร่วมในการออกเงินซื้อคืน ถ้าไม่มีส่วนร่วมและเงินซื้อคืนเป็นเงินของจำเลยเพียงผู้เดียว จะต้องปรึกษากันทำไมว่า ให้ลงชื่อใครเป็นผู้มีชื่อในโฉนด นอกจากนั้นคำเบิกความของนายสันติยังกล่าวถึงความหวงแหนในที่พิพาทของโจทก์โดยการที่โจทก์ชำระดอกเบี้ยตลอดมาเพื่อให้ผู้รับซื้อฝากยินยอมให้ซื้อคืน คำเบิกความของนายสันติจึงสอดคล้องเจือสมกับคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า โจทก์มีส่วนในการซื้อที่ดินคืนไม่ใช่จำเลยซื้อเพียงคนเดียว จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามที่ตกลงกันในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2529 ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share