แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับรองตั๋วแลกเงินรวม 77 ฉบับเป็นเงิน 17,606,567.76 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้แก่บริษัท ป. จำกัด ตามคำขอของจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยไม่เคย ทำหนังสือคำขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินตามเอกสารท้ายฟ้อง โดยมิได้ให้การปฏิเสธข้อที่โจทก์ได้รับรองตั๋วแลกเงิน และ โจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินแล้ว ถือว่าจำเลยรับว่าจำเลย ได้ให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงิน 77 ฉบับ และโจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินดังกล่าวจริง ดังนี้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามสัญญาที่ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินโดยไม่ต้องนำตั๋วแลกเงิน77 ฉบับ ซึ่งโจทก์มิได้สำเนาให้จำเลยมาวินิจฉัย แม้หนังสือทวงถามและใบตอบรับโจทก์จะมิได้ส่งสำเนาให้จำเลย แต่หนังสือทวงถามดังกล่าวได้ส่งถึงจำเลยแล้ว และจำเลยมีโอกาสนำสืบถึงความไม่ถูกต้องของเอกสารนี้ได้ ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังเอกสารนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จำเลยได้รับหนังสือทวงถามแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยไม่ชำระหนี้ และที่จำเลยนำสืบก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ จึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายได้ ดังนี้ จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลายฯ มาตรา 8(9)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ได้ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินที่สั่งจ่ายโดยจำเลยที่ 1 ให้แก่บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด ภายในวงเงิน 8,500,000 บาท มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 4 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3008 ถึง 3029 ตำบลบางม่วงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนเงิน1,700,000 บาท จำเลยที่ 5 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 10316, 21795 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาทเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ทั้งหมดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ก่อนหรือที่จะมีขึ้นต่อไปภายหน้าให้ไว้กับโจทก์ และตกลงด้วยว่าหากบังคับจำนองเอาทรัพย์สินจำนองขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ จำเลยที่ 4 และที่ 5 ยินยอมรับผิดชดใช้เงินจำนวนที่ขาดจนครบ ต่อมาจำเลยที่ 5 ได้ตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันอีกสองครั้ง รวมเป็นยอดเงินจำนอง 6,500,000 บาทโจทก์ได้รับรองตั๋วแลกเงินรวมทั้งสิ้น 77 ฉบับ จำนวนเงิน17,606,567.76 บาทและโจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินไปครบถ้วนแล้ว เมื่อครบกำหนดชำระเงินตามตั๋วแลกเงินแต่ละฉบับจำเลยได้ผิดนัดไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามข้อตกลง โจทก์ทวงถามแล้วต่างก็เพิกเฉย ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญารับสภาพหนี้และรับผิดชดใช้หนี้สินให้ไว้กับโจทก์ โดยยอมรับว่าจำเลยที่ 1มีหนี้สินประเภทรับรองตั๋วแลกเงินรวม 77 ฉบับ ค้างชำระเพียงวันที่ 31 กรกฎาคม 2528 เป็นเงิน 21,922,547.06 บาท จำเลยที่ 3 ยินยอมเข้าร่วมรับผิดชดใช้หนี้สินจำนวนดังกล่าวอย่างลูกหนี้ร่วม และตกลงจะผ่อนชำระหนี้งวดแรกภายในวันที่ 23 สิงหาคม 2528 จำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทเดือนต่อ ๆไปจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท กำหนดชำระทุกวันที่ 28 ของทุกเดือน หากผิดนัดยินยอมให้โจทก์ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทั้งหมดทันที โดยมีจำเลยที่ 6 เข้าค้ำประกันและร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แต่จำเลยที่ 3 และที่ 6 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว โจทก์ได้ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย เมื่อคิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งหกจะต้องร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์คือต้นเงิน17,586,446.56 บาท ดอกเบี้ย 7,636,770.39 บาท รวมเป็นเงิน25,223,216.95 บาท โจทก์คำนวณราคาทรัพย์สินที่จำเลยที่ 4และที่ 5 จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์แล้ว ปรากฏว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 มีราคาไม่เกิน 1,306,925 บาท ส่วนทรัพย์สินของจำเลยที่ 5 มีราคาไม่เกิน 4,119,000 บาท ไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์โจทก์ติดตามหาหลักทรัพย์ของจำเลยทั้งหก ไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินใด ๆที่ชำระหนี้โจทก์ได้ อีกทั้งจำเลยทั้งหกมีหนี้สินกับเจ้าหนี้รายอื่นหลายรายด้วย จำเลยทั้งหกจึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งหกเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งหกเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งหกให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งหกเด็ดขาด
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่6 สิงหาคม 2525 จำเลยที่ 1 ได้ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินซึ่งจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้แก่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัดภายในวงเงิน 8,500,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้รับรองตั๋วแลกเงินรวม 77 ฉบับ เป็นเงิน 17,606,567.76 บาท และโจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินไปแล้ว รายละเอียดปรากฏตามรายการเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 12 จำเลยให้การในข้อนี้เพียงว่าจำเลยไม่เคยทำเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งหมายถึงคำขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินโดยมิได้ให้การปฏิเสธในข้อที่โจทก์ว่าโจทก์ได้รับรองตั๋วแลกเงินให้จำเลยรวม 77 ฉบับ เป็นเงินรวม17,606,567.76 บาท และโจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินไปแล้วดังรายการตามเอกสารท้ายฟ้อง ถือว่าจำเลยรับว่าได้ให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงิน 77 ฉบับ และโจทก์ได้จ่ายเงินตามตั๋วนั้นแล้วจริง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาที่ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงิน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำรับของจำเลยจึงไม่ต้องนำตั๋วแลกเงิน 77 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.11 ซึ่งโจทก์มิได้สำเนาให้จำเลยมาวินิจฉัย ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นหนี้ตามสัญญารับรองตั๋วแลกเงินตามฟ้อง จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 6 มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นี้ โจทก์มีนายสิทธิชัย ชัยมุสิก เป็นพยานเบิกความว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3และที่ 6 ชำระหนี้แล้วถึง 2 ครั้ง ปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 โดยใบตอบรับนี้ปรากฏว่าเป็นการส่งหนังสือทวงถามไปยังภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องมีผู้ลงชื่อรับหนังสือโดยถูกต้อง จำเลยที่ 2 กับที่ 6 เบิกความเพียงว่าไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์โดยมิได้นำสืบให้เห็นว่าหนังสือทวงถามและใบตอบรับตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6นั้นไม่ถูกต้องอย่างไร แม้หนังสือทวงถามและใบตอบรับตามเอกสารหมาย จ.5 และ 6 นี้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาให้จำเลย แต่หนังสือทวงถามนี้ได้ส่งถึงจำเลยแล้วและจำเลยมีโอกาสนำสืบถึงความไม่ถูกต้องของเอกสารนี้ได้ ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจรับฟังเอกสารนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)คดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 6 ได้รับหนังสือทวงถามนั้นแล้ว ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วันและจำเลยไม่ชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับที่ 6 นำสืบมาก็ไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้โจทก์ จึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 6มีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายที่ศาลล่างทั้งสองให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3และที่ 6 เด็ดขาดจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน