แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่คุ้มครองสิทธิในที่ดินของราษฎรและจัดการที่ดินของรัฐ และให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ประชาชน เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นที่ห้องศูนย์สารสนเทศ การขนย้ายและติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานตามภารกิจหลักซึ่งเป็นการดำเนินการบริการสาธารณะของจำเลยให้สามารถใช้งานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ที่สืบเนื่องจากการจัดให้มีเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการจัดการที่ดินของจำเลยให้บรรลุผลและเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนที่มาใช้บริการ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลย สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๘๐/๒๕๕๗
วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๗
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ บริษัทไซท์ เพรพพาเรชั่น แมเนจเมนท์ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๘๕๕/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นที่ห้องศูนย์สารสนเทศ การขนย้ายและติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ เป็นเงิน ๒๔,๗๗๐,๕๐๐ บาท โดยแบ่งชำระ ๒ งวด หากงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดโจทก์ต้องชำระค่าปรับ ต่อมาจำเลยอ้างว่าโจทก์ส่งมอบงานล่าช้าเกินกว่ากำหนดระยะเวลาตามสัญญา จำเลยจึงปรับโจทก์โดยหักจากค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้แก่โจทก์ โจทก์เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิปรับโจทก์เพราะความล่าช้าที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของจำเลย อีกทั้งในการตรวจรับงานจำเลยมิได้สงวนสิทธิเรียกค่าปรับ ซึ่งโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนค่าปรับแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าปรับตามฟ้องคืนจากจำเลย โดยจำเลยมีสิทธิเรียกค่าปรับโจทก์ตามสัญญาโดยชอบแล้ว เนื่องจากโจทก์ส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันที่กำหนดงานแล้วเสร็จตามสัญญา อันเป็นความผิดของโจทก์ฝ่ายเดียว การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครองก็ตาม แต่สัญญาตามฟ้องเป็นสัญญาจ้างที่โจทก์มุ่งเพื่อประโยชน์กิจการงานและธุรกิจการค้าของโจทก์เอง สำหรับจำเลยงานตามสัญญาจ้างมิใช่งานหรือภารกิจหลักของจำเลยที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากแผ่นดินภายใต้ขอบเขตอำนาจงานของกรมที่ดินตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ แต่เป็นงานที่ส่งเสริมสนับสนุนงานและภารกิจหลักที่จำเลยต้องรับผิดชอบตามหน้าที่และภารกิจที่มีต่อประชาชนอีกทอดหนึ่งให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย และสำเร็จลุล่วงไปได้โดยสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น สัญญาจ้างจึงเป็นสัญญาที่ทำขึ้นตามบทบาทภาระหน้าที่ในการรับใช้และรับผิดชอบต่อประชาชนอีกทอดหนึ่งตามระเบียบบริหารราชการและการจัดการงานของจำเลย สัญญาตามฟ้องจึงเป็นสัญญาเอกชนทางแพ่ง ในอีกทางหนึ่งขณะที่สัญญามีผลบังคับใช้ แม้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะผิดสัญญาหรือคู่สัญญาฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็หาได้มีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ กรณีตามฟ้องแม้โจทก์จะส่งมอบงานล่าช้าและถูกปรับแล้วก็ตาม ผลกระทบก็มีเพียงเฉพาะต่อคู่สัญญาหรือระหว่างโจทก์จำเลยเท่านั้น มิได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือส่งผลต่อประชาชนทั่วไป หรือทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เสียหาย หรือส่งผลกระทบโดยตรงต่อสาธารณะประโยชน์ของประเทศ สัญญาตามฟ้องจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง และมิใช่ข้อพิพาทหรือคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อย่างใด คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นที่ห้องศูนย์สารสนเทศ การขนย้าย และติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ โดยตกลงว่าจ้างให้โจทก์ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ จัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ห้องศูนย์สารสนเทศ ให้สามารถรองรับการติดตั้งและใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์ทุกระบบที่อยู่ในความดูแลของจำเลย และดำเนินการถอดถอนและขนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ต่างๆ อันเป็นภารกิจของจำเลยในการจัดให้มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานตามภารกิจหลักซึ่งเป็นการดำเนินการบริการสาธารณะของจำเลยให้สามารถใช้งานได้อย่างเป็นระบบเชื่อมโยงครบวงจร สมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์แห่งสัญญาดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการจัดการที่ดินของจำเลยให้บรรลุผลและเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนที่มาใช้บริการ นอกจากนี้ สัญญาดังกล่าวยังมีข้อกำหนดที่ให้สิทธิแก่คู่สัญญาฝ่ายปกครองเพียงฝ่ายเดียวบอกเลิกสัญญาได้โดยที่ผู้รับจ้างซึ่งเป็นเอกชนไม่ได้ผิดสัญญาในสาระสำคัญ หรือข้อกำหนดที่ให้อำนาจแก่ผู้ว่าจ้างที่จะสั่งให้ผู้รับจ้างทำงานพิเศษเพิ่มเติมซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งไม่พบในสัญญาแพ่งทั่วไป สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีพิพาทอันเนื่องมาจากสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นที่ห้องศูนย์สารสนเทศ การขนย้ายและติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ จึงเป็นกรณีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นที่ห้องศูนย์สารสนเทศ การขนย้ายและติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ ต่อมาโจทก์ส่งมอบงานล่าช้าเกินกว่ากำหนดระยะเวลาตามสัญญา จำเลยจึงปรับโจทก์โดยหักจากค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้แก่โจทก์ อีกทั้งในการตรวจรับงานจำเลยมิได้สงวนสิทธิเรียกค่าปรับ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนค่าปรับแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าปรับตามฟ้องคืนจากจำเลย โจทก์ส่งมอบงานล่าช้าอันเป็นความผิดของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง จึงต้องพิจารณาว่าสัญญาพิพาทเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครองหมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคล ซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่คุ้มครองสิทธิในที่ดินของราษฎรและจัดการที่ดินของรัฐ และให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ประชาชน เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นที่ห้องศูนย์สารสนเทศ การขนย้ายและติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานตามภารกิจหลักซึ่งเป็นการดำเนินการบริการสาธารณะของจำเลยให้สามารถใช้งานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ที่สืบเนื่องจากการจัดให้มีเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการจัดการที่ดินของจำเลยให้บรรลุผลและเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนที่มาใช้บริการ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลย สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไซท์ เพรพพาเรชั่น แมเนจเมนท์ จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ