แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีเวลายื่นบัญชีระบุพยานได้นับแต่วันชี้สองสถาน ถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์เป็นระยะเวลาเกือบ 8 เดือน แต่จำเลยไม่ยื่นเพิ่งจะมายื่นบัญชีระบุพยานเมื่อพ้นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกแล้ว6 วัน อ้างว่ามิได้จงใจ เป็นความพลั้งเผลอของเสมียนทนายจำเลยข้ออ้างของจำเลยปราศจากเหตุผลไม่อาจรับฟังได้ ดังนี้ ไม่มีเหตุสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของจำเลย หลังจากจำเลยหย่าร้างกับโจทก์แล้ว จำเลยนำภริยาเก่าและบุตรซึ่งเกิดจากภรรยาเก่ามาอยู่ร่วมด้วย จำเลยชอบดื่ม สุราและกลับบ้านดึกเป็นประจำ ส่วนโจทก์ยังไม่ได้สมรสใหม่ หลังจากโจทก์จำเลยแยกกันอยู่แล้วโจทก์พาบุตรผู้เยาว์ไปอุปการะเลี้ยงดูตามลำพัง บุตรผู้เยาว์ได้รับความอบอุ่นและใกล้ชิดกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดา โดยโจทก์ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ในการปกครองบุตรผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้ายแต่อย่างใด เมื่อคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับต่อไปในอนาคตแล้วการให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ต่อไปย่อมมีความเหมาะสมยิ่งกว่าให้ไปอยู่ในความปกครองของจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยจดทะเบียนสมรสปี พ.ศ. 2521 ครั้นวันที่ 1 เมษายน 2523 ได้จดทะเบียนหย่า แต่ก็ยังอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตลอดมา มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงสิริจา สิริสวัสดิ์วัฒน์ จำเลยได้จดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตรปัจจุบันบุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ โจทก์จำเลยได้แยกกันอยู่เมื่อประมาณ 9 เดือนก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่ยอมส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรตามหน้าที่ ขอบังคับให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนบุตรเป็นเงิน 63,000 บาทและอีกเดือนละ 7,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าบุตรจะศึกษาจบมหาวิทยาลัยในประเทศแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่ผู้มีอำนาจปกครองบุตรจึงไม่มีอำนาจฟ้อง บุตรของจำเลยมีอายุเพียง 1 ปี 2 เดือน ยังไม่ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 7,000 บาท จึงเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก จำเลยไม่สามารถจ่ายได้ โจทก์ไม่มีฐานะและอาชีพใด ๆ ที่จะเลี้ยงดูบุตรให้มีการศึกษาที่ดี จำเลยมีความรู้ระดับปริญญาตรีมีอาชีพการงานที่แน่นอน มีรายได้มากพอที่จะให้การศึกษาให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตรจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะหรือตลอดไป ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กหญิงสิริจา สิริสวัสดิ์วัฒน์ บุตรแต่ผู้เดียว
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นมารดาย่อมจะรักและให้ความอบอุ่นแก่บุตร จำเลยไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูบุตร ทั้งยังมีภรรยาใหม่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์
ในระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้วจำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยายจำเลย เพราะจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด พิพากษาให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท นับแต่เดือนที่ฟ้องจนกว่าบุตรจะมีอายุ 7 ปี และต่อไปเดือนละ 2,500 บาท จนกว่าบุตรจะมีอายุ 12 ปี ต่อจากนั้นเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องคำให้การ และฟ้องแย้งกับคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์กับจำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2520 และได้จดทะเบียนสมรสกันในปี พ.ศ. 2521 ต่อมาวันที่ 16 เมษายน 2523 โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดกัน แต่ยังอยู่กินเป็นสามีภรรยาตลอดมา มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กหญิงสิริจาสิริสวัสดิ์วัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2530 จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตรเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2531 ปัจจุบันเด็กหญิงสิริจาผู้เยาว์อยู่ในความปกครองดูแลของโจทก์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย เพราะจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความระบุหรือยื่นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 และ 90 หรือไม่ เพียงไรนั้น ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์และเหตุผลอันสมควรเป็นกรณีไป คดีนี้ศาลชั้นต้นให้โจทก์นำสืบก่อน นับแต่วันชี้สองสถานถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์ เป็นระยะเวลาเกือบ 8 เดือน จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน จำเลยเพิ่งมายื่นบัญชีระบุพยานในวันที่ 29 มิถุนายน 2532ซึ่งผ่านพ้นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกเป็นเวลา 6 วันแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเป็นความพลั้งเผลอของเสมียนทนายโดยมิได้จงใจ ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวปราศจากเหตุผลไม่อาจรับฟังได้ ไม่มีเหตุสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของจำเลย
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า จำเลยมีความเหมาะสมที่จะปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ได้ดีกว่าโจทก์ ในข้อนี้โจทก์เบิกความว่า หลังจากฟ้องคดีนี้แล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2532จำเลยนำภรรยาเก่าและบุตรซึ่งเกิดกับภรรยาเก่ามาอยู่ด้วยกันที่สำนักงานเปรมศิริทนายความ จำเลยชอบดื่มสุราและกลับบ้านดึกเป็นประจำ เห็นว่า หลังจากโจทก์จำเลยแยกกันอยู่แล้ว โจทก์ได้พาบุตรผู้เยาว์ไปอุปการะเลี้ยงดูตามลำพัง บุตรผู้เยาว์ได้รับความอบอุ่น อยู่ใกล้ชิดโจทก์ซึ่งเป็นมารดามาโดยตลอดไม่ปรากฏว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ในการปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้ายแต่อย่างใด ทั้งโจทก์ยังมิได้ทำการสมรสใหม่ส่วนจำเลยมีภรรยาเก่าและบุตรซึ่งเกิดกับภรรยาเก่ามาอยู่ด้วยเมื่อคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับต่อไปในอนาคตแล้วการที่จะให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ย่อมมีความเหมาะสมยิ่งกว่าให้อยู่ในความปกครองของจำเลย…”
พิพากษายืน.