คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วต่อมาจำเลยได้แย่งชิงสัญญากู้ที่มีลายมือชื่อจำเลยเป็นผู้กู้ไปฉีกทิ้ง จำเลยให้การว่าได้ทำสัญญากู้จริงแต่โจทก์ไม่มีเงินให้กู้จึงฉีกท่อนล่างที่มีชื่อจำเลยและพยานออก ดังนี้ เท่ากับจำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงแต่ต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ ประเด็นข้อพิพาท จึงมีเพียงว่า จำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วหรือไม่เท่านั้นหามีประเด็นเรื่องไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือด้วยไม่ การที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องไม่มีลายมือชื่อจำเลยผู้กู้จึงเป็นสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่นอกประเด็นและไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2529 จำเลยกู้เงินโจทก์ 18,000 บาท ได้รับเงินครบถ้วน ยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราตามกฎหมาย กำหนดชำระเงินคืน วันที่ 6ธันวาคม 2529 นับแต่กู้เงินไปจากโจทก์ จำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เลย ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2529 จำเลยใช้กลอุบายนัดให้โจทก์นำสัญญากู้เงินไปบ้านจำเลยอ้างว่าจะใช้เงินคืน แต่จำเลยกลับแย่งชิงฉีกสัญญากู้เงินท่อนล่างที่มีลายมือชื่อจำเลยเป็นผู้กู้ไป เมื่อครบกำหนดชำระเงินคืนจำเลยไม่ชำระ จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยนับจากวันกู้ถึงวันฟ้อง825 บาท ขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน 18,825 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 18,000 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์ สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ เพราะทำสัญญากันก่อนแล้วโจทก์ไม่มีเงินให้กู้จำเลยจึงฉีกสัญญาท่อนล่างซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยและพยานออกโดยเข้าใจว่าสัญญาจะเป็นอันเสียไป แต่โจทก์ก็ยังนำเอาสัญญากู้เงินท่อนบนมาฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 18,825 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดจากต้นเงิน18,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ระหว่างส่งสำเนาฎีกา โจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นางมะลิ ทองคำชุม ภริยาเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้เงินไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้กู้ จึงใช้ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้นั้น พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินกู้จำนวน 18,000 บาท ไปจากโจทก์แล้ว ไม่เคยชำระดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยนัดให้โจทก์นำสัญญากู้เงินไปให้จำเลยโดยอ้างว่าจะใช้เงินคืน แต่จำเลยกลับแย่งชิงฉีกสัญญากู้เงินท่อนล่างที่มีลายมือชื่อจำเลยเป็นผู้กู้ไป เมื่อครบกำหนดชำระเงินคืนจำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญากู้เงินกันจริงแต่โจทก์ไม่มีเงินให้กู้ จำเลยจึงฉีกท่อนล่างซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยและพยานออกสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าว เท่ากับจำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงแต่ต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ประเด็นข้อพิพาทคงมีแต่เพียงว่าจำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้แต่อย่างใดเมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้เขียนสัญญากู้เงินลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้และรับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วต่อมาจำเลยฉีกสัญญากู้เงินทิ้ง โจทก์ได้คืนมาเฉพาะท่อนบนพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้จำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องไม่มีลายมือชื่อจำเลยผู้กู้จึงเป็นสัญญากู้ที่ไม่สมบูรณ์ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้นั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่นอกประเด็นและไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share