คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการจำหน่ายหางพ่วงรถเทรลเลอร์ และค่าดอกเบี้ย หากจำเลยจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวได้จะนำเงินมาแลกเช็คพิพาทนั้นคืน ดังนี้จำเลยมิได้ประสงค์จะออกเช็คพิพาทให้เป็นการชำระหนี้ แต่เป็นการออกเพื่อให้ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นความผิดสี่กรรมต่างกัน กระทงแรกให้วางโทษจำคุก 8 เดือน กระทงที่สองถึงที่สี่ให้วางโทษจำคุกกระทงละ1 เดือน รวมจำคุกจำเลย 11 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับซึ่งเป็นเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาสำเหร่ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2528 จำนวนเงิน 86,850 บาท ลงวันที่ 17 มกราคม2529 จำนวนเงิน 9,341.64 บาท ลงวันที่ 24 มกราคม 2529 จำนวนเงิน9,341 บาท และลงวันที่ 30 มกราคม 2529 จำนวนเงิน 9,488.50 บาทให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับถึงกำหนดแล้ว โจทก์นำไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารศรีนคร จำกัด สำนักงานใหญ่ เพื่อให้เรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2529 วันที่ 9 เมษายน 2529 วันที่ 17 เมษายน 2529และวันที่ 22 เมษายน 2529 ตามลำดับ โดยอ้างเหตุเช่นเดียวกันว่าบัญชีปิดแล้ว ตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.8 ทั้งนี้โดยในวันที่ 31 ธันวาคม 2528 อันเป็นวันออกเช็คเอกสารหมาย จ.1นั้น จำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย และบัญชีของจำเลยถูกปิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2529 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยออกเช็คพิพาทั้งสี่ฉบับเพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ มิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันทางแพ่งนั้น โจทก์เบิกความว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ไป 1,000,000 บาทเศษต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ไว้ตามสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.12 และจำเลยได้ออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยมีจำเลยและนายวิโรจน์เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อปี 2527 จำเลย นายวิโรจน์และโจทก์ได้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญประกอบกิจการรับจ้างขนส่งสินค้า โดยโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรับผิดชอบด้านการเงิน และเป็นผู้ออกเงินซื้อรถเทรลเลอร์ รถเครน และทรัพย์สินต่าง ๆ ของห้างหุ้นส่วน ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2528 โจทก์ถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนโดยจำเลยตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยจะขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนแล้วนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์รวม 1,318,775.64 บาทตามหนังสือถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเอกสารหมาย ล.2หลังจากนั้นจำเลยได้เปลี่ยนชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.วิชาญ โดยจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และต่อมาโจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ ตามสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.12 จำเลยได้ออกเช็คหกฉบับรวมทั้งเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมอบให้โจทก์ไว้เพื่อเป็นการประกันการจำหน่ายทรัพย์สินนั้นหากจำเลยได้จำเลยจะนำเงินมาแลกเช็คดังกล่าวคืน จำเลยออกเช็คตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย ล.5 เพื่อเป็นประกันการขายรถเทรลเลอร์ 1 คันราคา 100,000 บาท ออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 เพื่อเป็นประกันการขายหางพ่วงรถเทรลเลอร์ 1 ตัว ราคา 86,850 บาท และออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 จ.5 และ จ.7 เพื่อเป็นประกันการชำระค่าดอกเบี้ยซึ่งโจทก์คิดในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน สำหรับรถเครน 1 คัน ราคา650,000 บาท โจทก์นำไปขายเอง ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่น คือรถเทรลเลอร์1 คัน ราคา 100,000 บาท หางพ่วงรถเทรลเลอร์ 1 ตัว ราคา 86,850 บาทแป้นรถเทรลเลอร์ 5 ตัว ราคา 20,000 บาท และคัสซี 35 ตัว ราคา100,500 บาท นั้นจำเลยยังขายไม่ได้ เห็นว่า ที่โจทก์เบิกความอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ไป แล้วทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้และออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์นั้น มีแต่โจทก์เบิกความยืนยันเพียงผู้เดียว การกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมากถึง1,000,000 บาทเศษ ไม่ปรากฏว่ามีหลักประกันอันมั่นคง ตามสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.12 ก็ไม่มีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ไป หากแต่มีข้อความว่าโจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังดังที่อ้างส่วนที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเพื่อประกันการจำหน่ายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญ แล้วจะนำเงินมาชดใช้ให้แก่โจทก์นั้น จำเลยมีนายวิโรจน์พยานจำเลยซึ่งเคยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์และจำเลยตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการจำหน่ายหางพ่วงรถเทรลเลอร์และจำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 จ.5 และ จ.7 ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันค่าดอกเบี้ยนายวิโรจน์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ ไม่มีเหตุระแวงสงสัยเชื่อได้ว่านายวิโรจน์เบิกความตามสัตย์จริงตามหนังสือขอถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเอกสารหมาย ล.2 ระบุว่า โจทก์ได้จ่ายเงินสำหรับซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญ รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับดอกเบี้ยตั้งแต่เริ่มตั้งห้างหุ้นส่วนจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2528 รวมทั้งสิ้น 1,318,775.64บาท โดยจำเลยจะเร่งดำเนินการจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวชำระคืนให้ครบถ้วน รวมทั้งดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้าด้วยและสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.12 ข้อ 1 ระบุว่า ตามที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.วิชาญ (เดิมห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญ) เป็นหนี้โจทก์ ซึ่งหนี้ดังกล่าวโจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญ ยอดเงินดังกล่าวเพียงวันที่ 15 ตุลาคม2528 มียอดคงค้างเป็นเงิน 1,318,775.64 บาท กับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2528 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2528 เป็นเงิน9,341.32 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,328,116.96 บาท จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.วิชาญ ขอยืนยันว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนดังกล่าวข้างต้นและขอรับผิดชดใช้หนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ย พยานเอกสารดังกล่าวแสดงว่าหนี้ที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้นั้น มูลหนี้เกิดจากการที่โจทก์ออกเงินทดรองจ่ายแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญที่โจทก์อ้างว่ายอดเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้มีจำนวนสูงถึง1,328,116.96 บาท หากโจทก์จะให้จำเลยออกเช็คเพื่อเป็นประกันก็คงจะให้จำเลยออกเช็คให้เต็มจำนวนนั้นเมื่อจำเลยจะต้องจำหน่ายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุวิชาญ นำเงินมาชดใช้คืนให้แก่โจทก์ จำเลยอาจออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเพื่อเป็นประกันการจำหน่ายหางพ่วงรถเทรลเลอร์ซึ่งเป็นทรัพย์สินบางส่วนและค่าดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ได้ไม่เป็นการผิดปกติวิสัย พยานหลักฐานของจำเลยมีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับให้แก่โจทก์ไว้เพื่อเป็นประกันการจำหน่ายหางพ่วงรถเทรลเลอร์และค่าดอกเบี้ย หากจำเลยจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวได้จะนำเงินมาแลกเช็คพิพาทนั้นคืน เมื่อจำเลยมิได้ประสงค์จะออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับให้เป็นการชำระหนี้ แต่เป็นการออกเพื่อให้ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง…”
พิพากษายืน.

Share