แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ลงโทษเจ้าพนักงานผู้เรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สินโดยมิชอบ เพื่อกระทำการในตำแหน่งของตนแต่จำเลยแกล้งจับผู้เสียหายมาแล้วขู่เอาเงินจึงเป็นความผิดตามมาตรา 148 ไม่ใช่ 149
ความผิดตามมาตรา 147 ผู้กระทำผิดต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินนั้นโดยชอบแล้วเบียดบังเอาเสีย จำเลยไม่มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินโดยชอบ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
มาตรา 157 เป็นบทที่บัญญัติไว้อย่างกว้างเมื่อการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทที่บัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะคือ มาตรา 148 แล้วย่อมไม่ผิดตามมาตรา 157 อีก
ศาลล่างวางบทลงโทษจำเลยเกินมา แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ย่อยาว
ได้ความว่า นางสาวเซี่ยมล้อกำลังนับเงินอยู่ในร้าน มีนายดวงนายบุญชู กับพวกนั่งอยู่ด้วย จำเลยเป็นตำรวจเข้ามาจับคนทั้งสามว่าเล่นการพนันสลากกินรวบ และยึดเงินนางสาวเซี่ยมล้อไป แล้วจำเลยไม่นำตัวผู้ต้องหาไปสถานีตำรวจ กลับพูดให้นางสาวเซี่ยมล้อหาเงินให้จำเลย 3,000 บาท แล้วจะปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งสามนางสาวเซี่ยมล้อหาเงินให้ไม่ได้ จำเลยก็นำตัวนางสาวเซี่ยมล้อส่งสถานีตำรวจแจ้งข้อหาว่าไม่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวนางสาวเซี่ยมล้อถูกปรับฐานไม่นำบัตรประชาชนติดตัว จำเลยออกเงินค่าปรับให้แล้วปล่อยตัวกลับบ้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 148, 149, 157 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 5, 13แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 4, 5 ที่แก้ไขใหม่อันเป็นกระทงที่หนักที่สุด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ผิดตามมาตรา 149 คือ ผิดตามมาตรา 147, 148, 157 ตามที่แก้ไข แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 4 ที่แก้ไขใหม่
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 149 ลงโทษเจ้าพนักงานผู้เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สินโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในตำแหน่งของตน แต่พฤติการณ์ของจำเลยนี้ได้แกล้งจับผู้เสียหายกับพวกมาแล้วขู่เอาเงิน จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 149
ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา 147 และ 157 มาด้วยนั้นเห็นว่าจะเป็นความผิดตามมาตรา 147 จำเลยต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินนั้นโดยชอบแล้วเบียดบังเอาเสียโดยสุจริต แต่คดีนี้จำเลยแกล้งจับและยึดเงินนั้นโดยทุจริตตั้งแต่ต้น จึงไม่มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเงินนั้นโดยชอบ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 147 ส่วนมาตรา 157 ก็เป็นบทที่บัญญัติไว้อย่างกว้างเมื่อการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทที่บัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะ คือ มาตรา 148 แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อีก ปัญหานี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 147, 157 ด้วย