แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่พิพาทเป็นของกรมชลประทานโจทก์ จำเลยเช่าที่นี้จากโจทก์เพื่อปลูกสร้างอาคาร ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2486 มีพระราชบัญญัติออกมาเวนคืนที่ดินเพื่อขยายทาวหลวง ที่พิพาทบางส่วนถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย แต่เรือนโรงของจำเลยก็ยังคงปลูกอยู่ในที่พิพาทโดยสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยตลอดมาจนถึง พ.ศ. 2495 แล้วโจทก์จึงบอกเลิกสัญญา เมื่อที่พิพาทยังอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออกไป โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ตลอดถึงที่พิพาทส่วนที่ถูกเวนคืนให้แก่กรมทางหลวงแผ่นดินแล้วนั้นด้วย เมื่อจำเลยรับว่าได้เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยเช่าจากโจทก์ เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยก็ต้องส่งมอบที่พิพาทคืนให้โจทก์ จำเลยไม่มีทางจะโต้เถียงอำนาจของโจทก์ผู้ให้เช่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกโรงเรือนในเขตชานคลองระพีพัฒน์ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาในเขตเทศบาลตำบลตาเดี้ยง อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี มาก่อน พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยเช่าที่ปลูกจากโจทก์และสัญญาเช่าสิ้นอายุเมื่อสิ้นปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พ.ศ. ๒๔๙๖ โจทก์เลิกให้เช่าและบอกกล่าวให้รื้อถอนแล้ว จำเลยไม่รื้อ ขอให้บังคับให้รื้อโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ในเขตนั้น ที่ดินชานคลองดังกล่าวเป็นหน้าที่นายอำเภอท้องที่ดูแลรักษา จำเลยไม่เคยเช่าจากโจทก์ เรือนที่จำเลยอยู่นี้ปลูกอยู่ในที่ดินเขตทางหลวงสายถนนพหลโยธิน หากจะอยู่ในเขตชานคลองก็อยู่ในความดูแลรักษาของนายอำเภอ โจทก์ไม่มีอำนาจให้ผู้ใดเช่า ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
คู่ความแถลงรับกันว่าที่พิพาทเดิมเป็นของกรมชลประทานโจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโจทก์ปลูกอาคารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ใน พ.ศ. ๒๔๘๖ มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายเขตริมทางหลวงถนนประชาธิปัตย์ตอนดอนเมือง – สระบุรี (คือถนนพหลโยธิน) พ.ศ. ๒๔๘๖ กินถึงที่ดินที่จำเลยปลูกอาคารล้ำเข้าไปในเขตของกรมทางหลวงแผ่นดิน ๘.๕๐ เมตร และตัวอาคารยังอยู่ในที่ดินของโจทก์อีก ๒ เมตร จำเลยเช่าโจทก์มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ จึงไม่ได้เช่า คงอยู่ต่อมาจนบัดนี้ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้รื้อถอนจากโจทก์แล้ว และจำเลยแถลงว่า ที่ทำสัญญาเช่าจากโจทก์เพราะเข้าใจว่าเป็นที่ของโจทก์
โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินส่วนที่ขาดจากความดูแลของโจทก์ และตกอยู่ในความครอบครองของกรมทางหลวงแผ่นดินแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารเฉพาะส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ประมาณ ๒ เมตรนั้นด้วย ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาททั้งหมดตามฟอ้ง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยรับว่าได้เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยเช่าจากโจทก์ เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้วจำเลยก็ต้องส่งมอบที่ดินคืนให้โจทก์ จำเลยไม่มีทางจะโต้เถียงอำนาจของโจทก์ผู้ให้เช่า แม้จะได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขยายทางหลวงประชาธิปัตย์ตอนดอนเมือง – สระบุรี ฯลฯ พ.ศ. ๒๔๘๖ ออกประกาศใช้ เป็นเหตุให้ที่พิพาทบางส่วนอยู่ในเขตทางหลวงซึ่งถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ดี แต่โรงเรือนของจำเลยก็ยังคงปลูกอยู่ในที่พิพาทโดยสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยก็ยังมีผลอยู่ตลอดมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ โจทก์จึงบอกเลิกแสดงว่าโจทก์ยังสงวนสิทธิเหนือที่พิพาทว่ายังเป็นที่ดินชานคลองระพีพัฒน์อยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ตลอดมา เมื่อที่พิพาทยังอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ ๆ ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
พิพากษายืน