คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1691-1697/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจเข้าครอบครองที่ดินของรัฐในทุ่งเขาหน้าวัวซึ่งทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ โดยเข้าไปแผ้วถางปลูกพืชผลแล้วครอบครองที่ดินโดยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานกับทั้งระบุถึงวันเดือนปีและที่เกิดเหตุอันเป็นการระบุครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 และ 108 นั้น เมื่อจำเลยรับว่าจำเลยเข้าครอบครองที่ดินรกร้างว่างเปล่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน แม้ทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าเป็นที่ดินซึ่งทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ ก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ เพราะความตอนนี้เป็นเพียงรายละเอียด ไม่ใช่ส่วนขององค์ความผิด
เมื่อกฎหมายห้ามเข้าครอบครองที่ดินโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น ถ้าผู้ใดครอบครองที่ดินอยู่ก็ย่อมเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนกฎหมาย และเป็นความผิดอยู่ทุกขณะที่ทำการครอบครอง คดีจึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

คดี 7 สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมา โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 7 สำนวนบังอาจครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งเป็นที่ดินที่มีประกาศของทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครอง และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108

จำเลยทั้ง 7 สำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ปรับคนละ 500 บาท

จำเลยทุกคนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปยึดถือหรือครอบครองที่ดินอันเป็นของรัฐโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็เป็นความผิดตามมาตรา 108 และมาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินซึ่งมิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ถือว่าเป็นของรัฐ ฉะนั้น ที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งทางราชการสงวนไว้สำหรับราษฎรก็เป็นที่ดินของรัฐเช่นเดียวกัน และการเข้ายึดถือหรือครอบครองที่ดินของรัฐ ก็มีบทห้ามและบทลงโทษ แต่เฉพาะมาตรา 9 และ 108 ไม่ใช่มีบทห้ามและบทลงโทษเกี่ยวกับที่ดินของรัฐแต่ละประเภททั้งไม่มีบทกำหนดโทษไว้แตกต่างกันคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจเข้าครอบครองที่ดินของรัฐในทุ่งเขาหน้าวัวโดยเข้าไปแผ้วถางปลูกพืชผลแล้วครอบครองที่ดินโดยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน กับทั้งระบุถึงวันเดือนปีและที่เกิดเหตุ คำฟ้องดังกล่าวเป็นการระบุครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 และ 108 และมีรายละเอียดเพียงพอที่ถูกต้องตามกฎหมายคำฟ้องของโจทก์เท่าที่กล่าวนี้ย่อมเป็นคำฟ้องที่รับพิจารณาลงโทษจำเลยได้ จำเลยรับว่าที่ซึ่งจำเลยเข้าครอบครองเป็นที่รกร้างว่างเปล่าและจำเลยเข้าครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ตามคำรับของจำเลยจึงเท่ากับรับว่าที่ซึ่งโจทก์ฟ้องเป็นของรัฐและจำเลยเข้าครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็นคำรับตามคำฟ้องของโจทก์ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว แม้ทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าเป็นทั้งที่ดินที่มีประกาศของทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ เพราะความตอนนี้เป็นเพียงรายละเอียดเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ส่วนขององค์ความผิดและไม่กระทบกระเทือนแปรเปลี่ยนฟ้องตอนอื่นของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่กล่าวความตอนนี้มาฟ้องโจทก์ก็สมบูรณ์

แต่ที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้เสร็จไปในชั้นนี้ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ตอนต้นกับอนุมาตรา (1) พึงแยกข้อความได้ว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปยึดถือ ห้ามมิให้ผู้ใดครอบครองรวมตลอดทั้งห้ามการก่นสร้างหรือเผาป่า กฎหมายไม่ได้ใช้คำว่า เข้าไปยึดถือหรือครอบครองซึ่งจะทำให้เข้าใจคำว่าเข้าไป นั้น ใช้ประกอบทั้งยึดถือและครอบครอง คำว่าเข้าไปยึดถือและคำว่า ครอบครอง จึงเป็นข้อความแยกต่างหากจากกัน ฉะนั้น ถ้าผู้ใดครอบครองที่ดินอยู่ก็ย่อมเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนกฎหมาย และเป็นความผิดอยู่ทุกขณะที่ทำการครอบครองจำเลยก็รับอยู่ว่าจำเลยยังคงครอบครองที่ดินอยู่ตลอดมาฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share