แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อปรากฏว่า เกวียนและโคของกลางใช้บรรทุกไม้ท่อนซึ่งตัดโดยผิดกฎหมายแล้วชักลากออกจากป่าเพื่อจะเอาไม้นั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าของเกวียนหรือผู้ใช้เกวียนนั้นได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ได้ช่วยขนไม้นี้ออกจากป่า แม้จะเป็นการใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯ แล้วเกวียนและโคเหล่านั้นย่อมนับได้ว่าเป็นยานพาหนะซึ่งบุคคลได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดตามมาตรา 11 จึงเป็นยานพาหนะที่เข้าข่ายต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 แม้ถึงว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จะมิได้ถูกลงโทษในความผิดตามมาตรา 11 ด้วยก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๘ คนได้ร่วมกันตัดฟันชักลากทำไม้เป่า ๗ ต้น เนื้อไม้ ๑.๔๒ ลูกบาศก์เมตร ที่ในป่าซึ่งเป็นไม้ห่วงห้ามประเภทก. โดยมิได้รับอนุญาตและได้ร่วมกันมีไม้เปา ๗ ท่อน เนื้อไม้ ๑.๔๒ ลูกบาศก์เมตร ไว้ในความครอบครอง ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของไม้เปาทั้ง ๗ ท่อนและจำเลยที่ ๒ ถึง ๘ ร่วมกันใช้เกวียนเทียมโคคนละเล่มช่วยจำเลยที่ ๑ บรรทุกไม้เกวียนละ ๑ ท่อน ชักลากออกจากป่าพาเอาไม้ไป เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม้ ๗ ท่อน เกวียน ๗ เล่ม โค ๑๔ ตัว ซึ่งเป็นพาหนะชักลากไม้รายนี้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๑๑, ๖๙, ๗๐, ๗๓, ๗๕ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๒, ๑๗, ๑๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ และสั่งริบของกลางทั้งหมดด้วย
จำเลยทั้ง ๘ คนให้การรับสารภาพว่า ได้กระทำผิดจริงดังฟ้อง ไม้ของกลางเป็นของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ เป็นแต่ผู้ช่วยขนไม้ไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๑๑ , ๖๙, ๗๓ และ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๒, ๑๗ ลงโทษจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๙, ๗๐ และ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๒ ไม้ของกลางให้ริบ ส่วนเกวียนและโคของกลางไม่ริบ ให้คืนจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ไป
โจทก์อุทธรณ์คัดค้าน ขอให้ริบเกวียนและโคของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ริบเกวียนและโคของกลาง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ตามมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดของจำเลยยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ของกลางที่บัญญัติให้ริบ ไม่กินถึงความผิดตามมาตรา ๗๐ นี้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ จะมีความผิดตามบทมาตราใดหรือไม่ถูกลงโทษก็ตาม ก็ต้องวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่งว่า ของกลางที่ยึดได้ในคดีนี้ได้ใช้สำหรับความผิดอย่างใด อันเข้าข่ายจะพึงริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๘ หรือไม่ เมื่อปรากฏว่า เกวียนและโคของกลางใช้บรรทุกไม้ท่อนซึ่งตัดโดยผิดกฎหมายแล้วชักลากออกจากป่าเพื่อจะเอาไม้นั้น จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเกวียนหรือผู้ใช้เกวียนนั้นได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ ได้ช่วยขนไม้นี้ออกจากป่า คงที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ให้การรับสารภาพไว้ แม้จะเป็นการใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ ก็ตาม ก็นับว่าเป็นยานพาหนะ ซึ่งบุคคลได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดแล้ว การกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ คือ ตัดไม้ ชักลากไม้ออกจากป่าโดยไม่รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๑ จึงเป็นยานพาหนะที่เข้าข่ายต้องริบตามมาตรานี้ หากจะเถียงว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ไม่ได้กระทำผิดมาตรา ๑๑ ด้วยจะริบไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น จำเลยที่ ๑ เอาเกวียนและโคของจำเลยเหล่านี้มาใช้โดยจำเลยรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดตามมาตรา ๑๑ ด้วย กรณีเช่นนี้ยับริบได้ ไฉนจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘
เอาเกวียนมาขนด้วยตนเองจึงจะริบไม่ได้ พิพากษายืน