แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หัวหน้าแผนกประกันภัยและสอบสวนขององค์การโจทก์ได้ทำหนังสือตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในระเบียบของโจทก์ซึ่งออกตามความในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) พ.ศ. 2496 มาตรา 21, 22 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในทันทีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น อันมีผลเท่ากับเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของผู้อำนวยการของโจทก์และแทนผู้อำนวยการของโจทก์ ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2523 ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วอย่างช้าตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2523 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 9 สิงหาคม 2525 จึงเกินกว่า 1 ปีคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก
จำเลยที่ 1 กระทำความผิดทางอาญา ข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ซึ่งเป็นคดีลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 102 อายุความทางอาญามีกำหนด 1 ปี เท่ากับคดีละเมิดต้องบังคับตามอายุความทางแพ่งซึ่งมีกำหนด 1 ปี ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความเช่นกัน
เมื่อคดีได้ความว่า จำเลยที่ 2 ที่ 4 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิด เนื่องจากฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องแล้ว จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด เมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันเกิดการละเมิด จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ หากโจทก์ไม่สืบหรือสืบไม่ได้ก็ต้องถือว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) พ.ศ. ๒๔๙๖ มีนายสุรศักดิ์ ฉวีวงศ์ เป็นผู้อำนวยการมีอำนาจดำเนินคดีแทน โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๑บ-๘๖๑๓ หมายเลขประจำรถร.ส.พ. ๑๑๙๗ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๔จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้แทนและหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ มีส่วนได้เสียและผลประโยชน์ร่วมกันเกี่ยวกับรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับและร่วมกันเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๕ ได้แสดงตนต่อบุคคลภายนอกว่าเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ โดยเข้าทำกิจการของจำเลยที่ ๒ตลอดมา ส่วนจำเลยที่ ๖ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๓น-๑๐๕๗ ไว้ในลักษณะประกันวินาศภัยและประกันภัยค้ำจุน เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๓น-๑๐๕๗ ด้วยความประมาทพุ่งเข้าชนรถของโจทก์เป็นเหตุให้รถโจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์เพิ่งรู้การละเมิดและตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๕ และโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๕๘,๔๖๑.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์หลายประการรวมทั้งต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาในชั้นนี้มีว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ค่าเสียหายของโจทก์มีจำนวนเท่าใดและจำเลยทั้งหกจะต้องรับผิดเพียงใดหรือไม่
ปัญหาเรื่องอายุความ คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจากจำเลยทั้งหกเมื่อพ้นปีหนึ่งโดยอ้างว่าเพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน และจำเลยทั้งหกให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความภาระการพิสูจน์จึงตกโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าคดีของตนไม่ขาดอายุความ หากไม่สืบหรือสืบไม่ได้ก็ต้องถือว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว โจทก์มีนายสมนึกทวิชาโรดม ปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่เมื่อระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือน พฤษภาคม ๒๕๒๕ พยานไปตรวจพบว่าไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อำนวยการทราบพยานจึงรายงานให้ผู้อำนวยการทราบเรื่องทั้งหมดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๕ ซึ่งนายสุรศักดิ์ฉวีวงศ์ ผู้อำนวยการในขณะนั้นได้สั่งฟ้องเมื่อเดือนพฤษภาคม๒๕๒๕ นั้นเองโจทก์ไม่มีพยานหรือเอกสารอื่นมาสนับสนุนอีกทั้ง ๆ ที่ควรจะมี เช่นรายงานการเกิดเหตุและการติดตามเรื่องตลอดจนรายงานของนายสมนึก และคำสั่งที่นายสุรศักดิ์ให้ฟ้องเป็นต้น ยิ่งกว่านั้นคำเบิกความของนายสมนึกยังขัดกับคำเบิกความของนายสุรศักดิ์ที่ว่าตนมารับตำแหน่งผู้อำนวยการตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่นายสมนึกอ้างว่านายสุรศักดิ์สั่งฟ้อง นับเป็นพิรุธ พยานโจทก์ที่นำสืบเรื่องอายุความจึงไม่มีน้ำหนัก นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังฟังได้จากทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลมีผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการและดำเนินกิจการของโจทก์ทั้งเป็นตัวแทนโจทก์ในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก และเพื่อการนี้ผู้อำนวยการอาจมอบให้บุคคลใดปฏิบัติกิจการบางอย่างแทน ในเมื่อคณะกรรมการกำหนดไว้ในข้อบังคับว่าให้ปฏิบัติแทนกันได้นั้นก็ได้ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา๒๑ และมาตรา ๒๒ ซึ่งผู้อำนวยการโจทก์ได้ออกระเบียบองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับยานพาหนะหรือล้อเลื่อน พ.ศ. ๒๕๑๙ ไว้ด้วยแล้วตามเอกสารหมาย จ.๕ ตามระเบียบดังกล่าวเป็นการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น นับแต่ผู้ขับขี่ ผู้ควบคุมยานพาหนะ เจ้าหน้าที่ประกันภัยและสอบสวน รวมทั้งกองกฎหมาย ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนประเมินราคาค่าเสียหาย หาผู้รับผิดตลอดจนกำหนดตัวกรรมการให้เสร็จ เฉพาะกรณีที่บุคคลภายนอกต้องรับผิดในบรรดาค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทน ก็ได้กำหนดไว้ในข้อ ๑๕ ให้พนักงานประกันภัยและสอบสวนเจ้าของเรื่องผู้จัดการร.ส.พ. เขต หรือผู้จัดการ ร.ส.พ. สาขาหรือหัวหน้าแผนกผู้รับผิดชอบในเขตท้องที่ยานพาหนะหรือล้อเลื่อนเกิดอุบัติเหตุ แล้วแต่กรณีเป็นผู้ดำเนินการ และเป็นผู้รับเงินค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนนำส่ง ร.ส.พ. ภายในกำหนด ๗วันนับแต่วันรับเงิน แสดงว่าผู้อำนวยการโจทก์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งผู้ทำการแทนในกรณีต่าง ๆ เป็นการแน่ชัดไว้แล้วใช้ถือปฏิบัติได้ทั่วประเทศดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ทำการแทนนั้น ๆ จึงมีผลเท่ากับเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของผู้อำนวยการเอง คดีนี้ปรากฏว่านายยงยุทธ เขียวต่ายหัวหน้าแผนกประกันภัยและสอบสวนของโจทก์ในขณะเกิดเหตุยืนยันว่าเป็นผู้ทำหนังสือทวงถามจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย ล.๑ ล.๓ และ ล.๔ ลงวันที่๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๓ สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ แม้จะไม่มีหลักฐานการทวงถามเป็นหนังสือจากโจทก์ แต่นายทวี พลบุญมีเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเกี่ยวกับอุบัติเหตุรายนี้ของโจทก์ยืนยันว่าได้แจ้งความเสียหายของโจทก์ให้จำเลยทราบและมีหนังสือให้จำเลยชำระแก่โจทก์แล้ว จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ทราบมาก่อนแล้วว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ จะต้องร่วมรับผิดในมูลละเมิดนี้ด้วย ประกอบกับการทวงถามดังกล่าวเป็นการทวงถามของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของโจทก์ ทำไปในนามของโจทก์ทำถึงบุคคลภายนอก ทั้งนายสุรศักดิ์ ยังยืนยันด้วยว่า เมื่อมีการชำระหนี้ตามหนังสือทวงถามหนี้เป็นอันระงับ แสดงว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำแทนผู้อำนวยการโจทก์จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว อย่างช้าก็ตั้งแต่วันที่ ๑๖ธันวาคม ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นวันทวงถาม เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่๙ สิงหาคม ๒๕๒๕ จึงเกินกว่า ๑ ปี คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ถึงที่๕ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘วรรคแรก ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๑ นั้น ปรากฏว่า การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดทางอาญาด้วย จึงต้องดูว่าอายุความทางอาญายาวกว่าทางแพ่งคือละเมิดนี้หรือไม่ปรากฏจากรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๔ ว่าพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ ๑ ในความผิดทางอาญาเพียง ๔๐๐ บาทข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗ จึงเป็นคดีลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๐๒ และมีอายุความ ๑ ปีเท่ากับคดีละเมิด ต้องบังคับตามอายุความทางแพ่ง คือ ๑ ปี อายุความฟ้องคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑จึงขาดแล้วเช่นกันส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๖ นั้น โจทก์ในฐานะบุคคลภายนอกฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดแทนผู้เอาประกันภัยซึ่งจำเลยที่ ๖ รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ขับมาทำละเมิดไว้ แต่เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยที่ ๒ และที่๔ ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดเนื่องจากฟ้องโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องจากจำเลยทั้งสองนี้แล้ว จำเลยที่ ๖ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงปัญหาข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.