แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 18 พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตน นอกจากสามกรณีดังกล่าวแล้วพนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนต่อเมื่อมีการอ้างหรือเชื่อว่าความผิดนั้นได้เกิดภายในเขตอำนาจของพนักงานสอบสวนนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือพนักงานสอบสวนเข้าใจหรือมีความเชื่อเกี่ยวกับที่เกิดเหตุว่าความผิดได้เกิดภายในเขตอำนาจของตน ซึ่งผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่ความผิดไม่ได้เกิดในเขตอำนาจของพนักงานสอบสวน แต่ได้เกิดในสถานที่อื่นนอกเขตอำนาจของพนักงานสอบสวนนั้น
บริเวณถนนสายบ้านร่องบง – บ้านติ้วที่จ่าสิบตำรวจ ม. กับพวกตั้งจุดตรวจชั่วคราว และจุดที่พบถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนเป็นถนนนอกเขตชุมชน ตลอดแนวถนนไม่มีป้ายหรือสิ่งปลูกสร้างใดแสดงให้ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตท้องที่หมู่บ้านหรือตำบลใด จ่าสิบตรวจ ม. กับพวกผู้ร่วมจับกุมเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว ย่อมต้องมีความเชื่อว่าบริเวณที่ตั้งจุดตรวจอยู่ในเขตอำนาจรับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว แม้จำเลยจะโยนเมทแอมเฟตามีนทิ้งในเขตตำบลบ้านหวาย แต่จ่าสิบตำรวจ ม. ก็พบเห็นการกระทำความผิดในเขตตำบลบ้านติ้วและเรียกให้จำเลยหยุดที่จุดตรวจต่อเนื่องกัน จึงเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเชื่อว่าเหตุเกิดและจำเลยถูกจับในท้องที่ตำบลบ้านติ้ว เมื่อจ่าสิบตำรวจ ม. นำจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีนส่งมอบให้แก่พันตำรวจตรี ป. ย่อมทำให้พันตำรวจตรี ป. เชื่อว่าความผิดได้เกิดขึ้นและจำเลยถูกจับภายในเขตอำนาจของตน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้วย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 18
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2546 เวลากลางวัน จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 3 ชิ้น น้ำหนัก 0.12 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลบ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยพร้อมยึดแมทเอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของกลาง ซึ่งหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สถานที่เกิดเหตุและที่จำเลยถูกจับอยู่ในเขตตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหล่มสัก มิใช่เขตอำนาจของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว การสอบสวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ซึ่งโจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จ่าสิบตำรวจมงคล เจ๊กจั่น และสิบตำรวจโทณรุด สามลทา เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ จับกุมจำเลยไว้ได้ที่บริเวณถนนสายบ้านร่องบง – บ้านติ้ว พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 3 ชิ้น น้ำหนัก 0.12 กรัม เป็นของกลาง นำส่งพันตำรวจตรีประณีต อินฮวบ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว ซึ่งมีเขตอำนาจสอบสวนเพราะตำบลบ้านติ้ว ตำบลท่าอิบุญ และตำบลท้ายไร่ อำเภอหล่มสัก สอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย โดยความผิดเกิดในเขตท้องที่ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การสอบสวนที่กระทำโดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้วชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า พันตำรวจตรีประณีตพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้วเชื่อว่าเหตุคดีนี้เกิดในเขตอำนาจของตนจึงมีอำนาจสอบสวน เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี… ข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไปมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตนได้ ตามบทบัญญัติกฎหมายนี้เห็นได้ว่า พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตน นอกจากสามกรณีดังกล่าวแล้วพนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนต่อเมื่อมีการอ้างหรือเชื่อว่าความผิดนั้นได้เกิดภายในเขตอำนาจของพนักงานสอบสวนนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือพนักงานสอบสวนเข้าใจหรือมีความเชื่อเกี่ยวกับที่เกิดเหตุว่าความผิดได้เกิดภายในเขตอำนาจของตนซึ่งผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่ความผิดไม่ได้เกิดในเขตอำนาจของพนักงานสอบสวน แต่ได้เกิดในสถานที่อื่นนอกเขตอำนาจของพนักงานสอบสวนนั้น ปรากฏว่าบริเวณถนนสายบ้านร่องบง – บ้านติ้ว ที่จ่าสิบตำรวจมงคลกับพวกตั้งจุดตรวจชั่วคราวและจุดที่พบถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.4 และ จ.5 เป็นถนนนอกเขตชุมชน ตลอดแนวถนนที่ปรากฏในภาพถ่ายดังกล่าวไม่มีป้ายหรือสิ่งปลูกสร้างใดแสดงให้ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตท้องที่หมู่บ้านหรือตำบลใด ที่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่เกิดเหตุและจำเลยนำสืบนายยงยุทธ เฮ้าปาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ตำบลบ้านหวาย กับนายคำมวล โกบุตร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลบ้านติ้ว มายืนยันว่าบริเวณที่ตั้งจุดตรวจชั่วคราวและจุดที่พบถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางอยู่ในเขตหมู่ที่ 2 ตำบลบ้านหวาย ก็อาศัยเพียงคำยืนยันด้วยพยานบุคคลซึ่งอยู่ประจำในพื้นที่ โดยพยานบุคคลของจำเลยก็มิได้ยืนยันแนวเขตที่แบ่งแยกเขตตำบลบ้านติ้วและตำบลบ้านหวายที่ชัดแจ้ง จ่าสิบตำรวจมงคลและสิบตำรวจโทณรุดผู้ร่วมจับกุมเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว ในวันเกิดเหตุตั้งจุดตรวจชั่วคราวเพื่อตรวจค้นจับกุมผู้กระทำความผิด ย่อมต้องมีความเชื่อว่าบริเวณที่ตั้งจุดตรวจชั่วคราวอยู่ในเขตอำนาจรับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้ว แม้ได้ความจากจ่าสิบตำรวจมงคลและสิบตำรวจโทณรุดว่าจำเลยจะโยนแมทเอมเฟตามีนของกลางทิ้งในเขตตำบลบ้านหวาย แต่จ่าสิบตำรวจมงคลและสิบตำรวจโทณรุดก็พบเห็นการกระทำความผิดในเขตตำบลบ้านติ้วและเรียกให้จำเลยหยุดที่จุดตรวจชั่วคราวต่อเนื่องกัน จึงเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเชื่อว่าเหตุเกิดและจำเลยถูกจับในท้องที่ตำบลบ้านติ้ว เมื่อจ่าสิบตำรวจมงคลและสิบตำรวจโทณรุดนำจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางส่งมอบให้แก่พันตำรวจตรีปราณีตย่อมทำให้พันตำรวจตรีปราณีตเชื่อว่าความผิดได้เกิดขึ้นและจำเลยถูกจับภายในเขตอำนาจของตน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านติ้วย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ ตามบทบัญญัติข้างต้น การสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่ามีการสอบสวนความผิดนี้แล้วพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดหล่มสักจึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาอื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี