คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 597/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้งสามบังอาจร่วมกันอนุญาตให้ผู้ดูซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับยกเว้นอากรมหรสพเข้าดูภาพยนตร์โดยไม่เสียอากรมหรสพในชั้นราคา 8 บาท จำนวน 204 คน ๆ ละ 1 ครั้งกับในชั้นราคา 10 บาท จำนวน 21 คน คนละ 1 ครั้ง รวม 225 คน225 ครั้ง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2517 ระหว่างเวลา 10 นาฬิกา ถึง21 นาฬิกา ดังนี้ เห็นได้ว่าฟ้องโจทก์บรรยายชัดเจนแล้วว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยทั้งสามรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจึงต้องลงโทษจำเลยเป็น 225 กระทง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ฉายภาพยนตร์เก็บเงินค่าดูจากผู้เข้าดูอันเป็นมหรสพที่ต้องเสียอากรมหรสพตามกฎหมาย จำเลยที่ 2, 3เป็นผู้ที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งและมอบหมายให้มีหน้าที่รับและฉีกตั๋วจากผู้เข้าดูเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2517 เวลา 10 นาฬิกา ถึง 21 นาฬิกา จำเลยทั้งสามร่วมกันอนุญาตให้ผู้ดูซึ่งต้องเสียค่าดูเข้าดูภาพยนตร์ของจำเลยที่ 1 ในชั้นดูราคา 8 บาทจำนวน 204 คน ๆ ละ 1 ครั้ง และชั้นดูราคา 10 บาท จำนวน 21 คน ๆ ละ 1 ครั้งรวม 225 คน ๆ ละ 1 ครั้ง รวม 225 ครั้ง โดยไม่เสียอากรและผู้ดูทั้งหมดไม่เป็นบุคคลที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายไม่ต้องเสียอากรมหรสพ ขอให้ลงโทษตามประมวลรัษฎากร มาตรา 135, 142 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 มาตรา 63

จำเลยทุกคนให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทุกคนมีความผิดตามฟ้อง เป็นความผิดกรรมเดียวปรับคนละ 500 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับคนละ 250 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30

โจทก์อุทธรณ์ว่าควรเรียงกระทงลงโทษตามที่จำเลยกระทำความผิดรวม 225 ครั้ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับคนหนึ่งกระทงละ 100 บาทจำเลยทำผิด 225 กระทง ลงโทษทุกกระทงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เป็นเงินคนละ 22,500 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับคนละ 11,250 บาท

จำเลยฎีกา

ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสามบังอาจร่วมกันอนุญาตให้ผู้ดูซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับยกเว้นอากรมหรสพเข้าดูภาพยนตร์โดยไม่เสียอากรมหรสพในชั้นดูราคา 8 บาท จำนวน 204 คน ๆ ละ 1 ครั้ง กับในชั้นดูราคา 10 บาท จำนวน 21 คน ๆ ละ 1 ครั้ง รวม 225 คน 225 ครั้งเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2517 ระหว่างเวลา 10 นาฬิกา ถึง 21 นาฬิกา นั้น เห็นว่าฟ้องโจทก์บรรยายชัดเจนแล้วว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันจำเลยทั้งสามรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งสามทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นั้นชอบแล้วและโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานี้ก็เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share